Travel Japan 2015 ::: เที่ยวจังหวัดมิเอะ พาไปยังศาลเจ้าอิเสะ Ise Jingu :::
Travel Japan 2015 : Day 9 เที่ยวจังหวัดมิเอะ พาไปยังศาลเจ้าอิเสะ Ise Jingu
ติดตามอ่านบทนำ ข้อมูลก่อนเดินทางทริปนี้ได้ที่นี้
+
ติดตามเรื่องราวการเดินทางได้ที่นี้
+ ตอนที่ 01 : วันแรกของการเดินทาง ::: ” ฟุกุโอกะ ” เมืองที่ถูกจัดอันดับว่าเป็นเมืองน่าอยู่อันดับที่ 12 ของโลก :::
+ ตอนที่ 02 : วันที่สองของการเดินทาง ::: เที่ยวเมือง Yufuin และนั่งรถไฟขบวนสุดฮิต Yufuin No Mori :::
+ ตอนที่ 03 : วันที่สามของการเดินทาง ::: เที่ยวปราสาทคุมาโมโตะ ตามรอยละครตามหา ศาลเจ้ากลกิโมโน :::
+ ตอนที่ 04 : วันที่สี่ของการเดินทาง ::: เดินทางไปหาเสาโทโรอิกลางน้ำ ที่ฮิโรชิมา ปิดท้ายที่ย่าน Sakae :::
+ ตอนที่ 05 : วันที่ห้าของการเดินทาง ::: พาไปจังหวัด ” ชิงะ ” เที่ยว 2 เมืองรอบทะเลสาบบิวะ :::
+ ตอนที่ 06 : วันที่หกของการเดินทาง ::: ฝนตกทั้งวันเที่ยวเมือง คามาคุระ และตอนเย็นที่โยโกฮาม่า :::
+ ตอนที่ 07 : วันที่เจ็ดของการเดินทาง ::: พาเที่ยวเมืองหลวงของญี่ปุ่น ” โตเกียว ” ออกตามหา Gundam :::
+ ตอนที่ 08 : วันที่แปดของการเดินทาง ::: เที่ยวนากาโน่ ต้องลองไปรู้จักแล้วจะหลงรักเมืองนี้ :::
+ ตอนที่ 09 : วันที่เก้าของการเดินทาง ::: เที่ยวจังหวัดมิเอะ พาไปยังศาลเจ้าอิเสะ Ise Jingu ::: < กำลังอ่านอยู่บทความนี้ >
+ ตอนที่ 10 : วันที่สิบของการเดินทาง ::: พาเที่ยวมรดกโลกปราสาทฮิเมะจิ ปิดท้ายค่ำคืนที่ Osaka Bay :::
+ ตอนที่ 11 : วันสุดท้ายของการเดินทาง ::: ไปเมืองหลวงเก่าเกียวโตเที่ยวป่าไผ่ ” อาราชิยาม่า ” ในวันฝนพรำ :::
Day 9 วันที่ 4 ก.ค. 2558 วันนี้เป็นวันที่ 9 ของการเดินทางเที่ยวในญี่ปุ่นของทริปปี 2015 วันนี้จะไปพาไปยังจังหวัดมิเอะ ( Mie ) ซึ่งหนึ่งในเมืองในจังหวัดมิเอะที่จะพาไปเที่ยวกันวันนี้คือเมืองอิเสะ ( Ise ) อยู่ตอนกลางของเกาะฮอนชู ติดทะเลทางทิศใต้ สถานที่เราจะไปคือหนึ่งในศาลเจ้าของชินโตที่สำคัญสูงสุดมีสองแห่งคือ ศาลเจ้าอิเสะ (Ise Jingu) ที่จังหวัดมิเอะ (Mie) และอีกที่ ศาลเจ้าอิซูโมะ (Izumo Taisha) ที่จังหวัดชิมาเนะ (Shimane) ซึ่งศาลเจ้าอิเสะ (Ise Jingu) จะมีหลัก ๆ 2 แห่งด้วยกันคือ ศาลเจ้าส่วนใน Inner Shrine (Naiku) และศาลเจ้าส่วนนอก Outer Shrine (Geku)
ส่วนขากลับจากเมืองอิเสะ ( Ise ) จะพาไปขึ้นรถไฟที่ผมได้จองไว้นั้นคือ รถไฟขบวนพิเศษ ชิมากาเซะ ( Premium Express SHIMAKAZE ) ของ Kintetsu เพื่อกลับไปยังนาโกย่า ( Nagoya ) และค่อยเดินทางไปยังโอซาก้า ( Osaka ) เพราะคืนนี้เราจะค้างกันที่นั้น ติดตามการเดินทางในวันที่ 9 ได้เลยครับ
วันนี้เราตื่นกันแต่เช้าเพื่อไปยังสถานี TOKYO เพราะวันนี้เราย้ายเมืองกันแล้วกระเป๋าเราให้ทางโรงแรมจัดการส่งแมวดำไปรอเราตั้งแต่เมื่อวานแล้ว วันนี้เราจะไปนอนยังเมืองโอซาก้า ( Osaka ) แต่ก่อนไปก็ขอแวะเมืองระหว่างทางอย่างเมืองอิเสะ ( Ise ) กันก่อน
วันนี้ขึ้นขบวน SHINKANSEN HIKARI 461 เป็นรถรุ่น 700 Series จะพาผมจากสถานี TOKYO ไปยังสถานี NAGOYA
โลโก้ข้างรถ SHINKANSEN Series 700
ใช้เวลาเดินทางจากสถานี TOKYO ไปยังสถานี NAGOYA ใช้เวลา 126 นาที ก็ประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วค่อยไปเปลี่ยนขบวนรถไฟอีกที่ที่สถานี NAGOYA
ตามสูตรการออกแต่เช้าย้ายเมืองต้องซื้อข้าวกล่องมากินบนรถไฟ ก็ไมาแพงนะครับซื้อมาในราคา 900 เยน
รถไฟของญี่ปุ่นทุกขบวนเขาจะใส่ใจรายละเอียดเพื่อผู้ใช้แบบคนปรกติแบบเราและผู้ที่พิการ จะมีตัวหนังสือสำหรับคนพิการในขบวนนั้น ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคนพิการ
ถึงสถานี NAGOYA ตอน 9 โมงนิดก็ไปหาชานชาลาที่เขียนไปทาง Kansai Line ไป Yokkaichi และ Matsusaka ( เมืองนี้ดังมากเรื่องเนื้อวัว อร่อยมาก ๆ )
ผมมาต่อสาย Local คือเจ้าขบวน JR Rapid Mie 3 ไปยังเมืองอิเสะ ( Ise )
หน้าตาของขบวน JR Rapid Mie ที่จะพาผมไปจากสถานี NAGOYA ไปยังสถานี ISESHI
ที่นั่งภายในเป็นแบบ 2 – 2 หมุนเบาะเข้าหากันได้
ภายในก็จะมีป้ายไฟบอกถึงสถานีข้างหน้าว่าจะถึงสถานีไหนแล้วใช้เวลาเดินทาง 90 นาที ไปยังเมืองอิเสะ ( Ise )
อันนี้จำให้ดีนะครับถึงขบวนนี้มันจะเป็นขบวนของ JR เราสามารถออกตั๋วได้เมื่อใช้บัตร JR Pass แต่การไปยังเมืองอิเสะ ( Ise ) ช่วงนึงมันต้องไปใช้รางของสายเอกชนคือ Kintetsu วิ่งเพราะฉะนั้นตอนเราขึ้นรถไฟสาย JR Rapid Mie เจ้าหน้าที่รถไฟจะขอเก็บเงินเพิ่มอีก 510 เยน เพราะต้องจ่ายให้กับ Kintetsu แล้วเจ้าหน้าที่จะให้ตั๋วสีส้มมาอีกใบ ให้เก็บไว้ด้วยนะครับตอนถึงสถานี ISESHI ตอนออกจากสถานีเจ้าหน้าที่จะขอดูด้วย
วันนี้ได้นั่งหน้าติดกับคนขับรถไฟ JR จึงเห็นท่าทางการทำงานของเขาตลอดเวลาขับไปสักพักเขาจะเอามือไปชี้ที่บอร์ดเหมือนตารางการวิ่ง แล้วก็จะเอามือชี้ไปยังข้างหน้า เหมือนเป็นวิธีปฏิบัติของเขาเพราะเขาทำตลอดเส้นทาง
นั่งหลับไปได้ตื่นนึงก็มาถึงแล้วสถานี ISESHI สถานีเมืองอิเสะ ( Ise )
ข้ามสะพานไปอีกฝั่งก็จะเป็นทางออกของสถานี
ฝั่งออกสถานีต้องมาทางชานชาลาที่ 1 นะครับ ถ้าไปออกอีกทางมันจะไปออกยังสถานีรถไฟของ Kintetsu
สถานีที่ท่องเที่ยวของเมืองอิเสะ ( Ise ) ซึ่งวันนี้ที่จะไปก็จะมี ศาลเจ้าส่วนใน Inner Shrine (Naiku) และศาลเจ้าส่วนนอก Outer Shrine (Geku) และถนน Oharai Macchi ซึ่งมีร้านอาหารอร่อย ๆ เยอะ ทั้งร้านขายขนม ร้านขายของฝากที่ระลึก
ออกมาจากสถานีก็จะมีป้ายชี้ไปทางศาลเจ้าส่วนนอก Outer Shrine (Geku) ซึ่งสามารถเดินได้จากสถานี ISESHI ไปได้เลยไม่ไกลแต่เราเอาไว้ทีหลังไปอันไกลก่อน
ตู้ Locker ของสถานี ISESHI มีทั้งสองฝั่งซ้ายและขวา ฝั่งขวาจะมีตู้ใบใหญ่มากกว่าซ้ายแต่ก็มีตู้ใบใหญ่ไม่เยอะ
ตรงสถานีถ้าออกมาทางด้านขวาจะมี Tourist Information ของที่นี้ และด้านในจะมีที่ขายตั๋วรถบัสแบบเหมาวันด้วยขึ้นกี่เที่ยวก็ได้ราคา 1,000 เยน เราก็ทำการซื้อเลย
ด้านหน้าของสถานี ISESHI สำหรับใครที่มีกระเป๋าใหญ่มาแล้วตู้เต็มให้ออกจากสถานีแล้วไปทางซ้ายจะมีร้านรับฝากกระเป๋าครับไม่ต้องกลัวเลยเรื่องที่ฝากกระเป๋า
ร้านรับฝากกระเป๋าด้านหน้าสถานีเดินออกจากสถานีเดินทางซ้ายมานิดเดียวก็ถึง
เราจะไปยังศาลเจ้าส่วนใน Inner Shrine (Naiku) กันก่อนก็มารอขึ้นรถเจ้าหน้าที่เขาบอกให้รอตรงป้ายที่ 10
ที่ป้ายจะเขียนบอกว่าผ่านทั้ง Geku และ Naiku ผมไปยังอันไกลก่อนคือ Naiku เพราะ Geku อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟไว้ไปทีหลังได้
นั่งรถบัสเบอร์ 51 มาลงยังทางด้านหน้าของ Naiku ได้เลยซึ่งเป็นสถานีจอดรถบัส ตอนลงก็โชว์ตั๋วแบบเหมาวันให้เจ้าหน้าที่เขาดูแค่นั้นเอง
รถบัสลายพปิกาจู เสียดายไม่ได้นั่งคันนี้
ลงรถไม่ทันไรฝนเริ่มตก พอดีใกล้เที่ยงแล้วเราเลยแวะเดินถนนข้าง Naiku ก่อนเลยนั้นคือถนน Oharai Macchi เต็มไปด้วยขนม , ร้านอาหาร , และของฝากน่าทานทั้งนั้น
เป็นถนนคนเดินย่านคล้ายเดือนเมืองเก่าที่นี้เขาอนุรักษ์บ้านเรือนแบบโบราณกันไว้
เข้าร้านนี้เลยละกันเห็นคนเยอะดี ลองแล้วไม่ผิดหวังจริง ๆ ขอบอก
บรรยากาศในร้าน จะมีที่นั่งให้เลือก 2 แบบ คือแบบญี่ปุ่นแท้ กับแบบโต๊ะมีเก้าอี้นั่ง ด้วยพ่อแม่อายุเยอะแล้วเขาขอนั่งแบบมีเก้าอี้ดีกว่าเพราะเขากลัวลุกไม่ขึ้น
รายการอาหารไม่แพงนะครับ เนื้อที่นี้อร่อยมาก ๆ ต้องลองมากินดู
ขอบอกเลยว่ากลับมาเมืองไทยแล้วอยากไปกินอีกชอบมาก อร่อยดีราคาไม่แพงด้วย
กินเสร็จก็เดินต่อ หาของกินไปเรื่อย ๆ หมดไปเยอะกับของกินเพราะอะไรก็น่ากินไปหมด
กินกันเต็มที่แล้วต่อไปก็เข้าศาลเจ้ากันดีกว่า สถานที่ที่เรากำลังเข้าไปคือ ศาลเจ้าชั้นใน Naiku ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่สถิตย์ของเทพ Amaterasu Omikami (Oohirume no muchi no kami)
เข้าไปยังด้านในของศาลเจ้าต้องข้ามสะพานไม้ข้ามแม่น้ำไป
สะพาน Uji ( Ujibashi ) ความยาวประมาณ 100 เมตร สำหรับข้ามแม่น้ำ Isuzu ถือเป็นสะพานสำคัญ เพราะเชื่อกันว่าเป็นทางเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์และดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ต้องบอกว่าสถานที่ตรงนี้ใหญ่มากกว่าจะเดินเข้าไปจนสุดท้ายในศาลเจ้าใช้เวลาเดือนเกือบ 30 นาที
สองข้างทางต้นไม้และสวนสวย ๆ ทั้งนั้นเรียกว่าร่มรื่นมากสำหรับที่นี้ ส่วนตัวผมชอบที่นี้นะ
ก่อนเข้าเขตศาลเจ้าต้องล้างมือ ล้างปาก ตอนแรกเราล้างก็คิดว่าเดียวก็ถึงแล้วที่ไหนได้ยังไปอีกไกล
ตรงบริเวณนี้เป็นที่ขายพวกเครื่องราง ห้ามถ่ายรูปเข้าไปยังด้านในนะครับ เจ้าหน้าที่เขาห้าม
ว่ากันว่า การสร้าง Naiku เริ่มต้นการช่วงที่มีพุทธศาสนาเข้ามายังญี่ปุ่นและแผ่อิทธิพลไปทั่ว องค์จักรพรรดิ ต้องการสร้างอะไรที่เป็นญี่ปุ่นแท้ๆ จริงๆ จึงได้รีบจัดสร้าง Naiku ขึ้นมา
คนไม่น้อยที่มากันทีนี้ แต่ไม่เจอคนไทยเลยนะตั้งแต่เข้ามาเมืองนี้ ศาลเจ้าส่วนใน หรือ Naiku นั้น มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Katai Jingu ถูกสร้างขึ้นราว 2,000 ปีมาแล้ว ( บ้างก็ว่าถูกสร้างขึ้น ตั้งแต่ประมาณ 4 ปีก่อนคริสตกาล ) ด้านในห้ามถ่ายรูปนะครับ
ไหว้เสร็จก็ออกมาทางเดิมนั้นละครับ
เดินทางเก่ามาเรื่อย ๆ และจะมีป้าย Exit ให้ออกมาทางนั้นเพราะมันจะผ่านสถานที่ขายเครื่องรางอีกที่ก่อนออกจากที่นี้
แม่น้ำ Isuzu สะพาน Uji ข้ามผ่าน
หันกลับไปมองถนน Oharai Macchi ตอนบ่ายคนยิ่งแน่นกว่าตอนเที่ยงอีก
ขากลับไปยังสถานีรถไฟ ISESHI ก็มาขึ้นยังจุดที่เราลงตอนมาซึ่งมันจะเป็นท่ารถบัส
ให้มารอป้ายที่ 2 รอสาย 51 กับ 52
แล้วรถก็จะวนมาส่งยังสถานีรถไฟ ISESHI แต่เรายังไม่ลงเพราะเราจะไปศาลเจ้าส่วนนอก Geku กันต่อเลยนั่งรถคันเดิมไปเลยครับไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงแบบว่าขี้เกียจเดิน
ลงรถบัสจะเห็นป้ายชี้ไปยัง Ise Jingu ( Geku ) อยู่ฝั่งตรงข้ามเราต้องข้ามถนนไป
ก่อนเข้าก็ทำตามธรรมเนียม แต่ที่นี้เดินไม่ไกลเหมือนกับศาลเจ้าชั้นใน Naiku
ทางเข้าจะมีเสา Torii แบบในรูป มีชื่อเรียกว่า Ise Torii
ว่ากันว่าศาลเจ้า Geku เป็นที่สถิตย์ของ Toyouke เทพที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร , ที่อยู่อาศัยและอาภรณ์
ด้านหน้าเป็นนาคารหลักที่เป็นที่สถิตย์ของเทพเรียกว่า Honden ด้านในห้ามถ่ายรูป
ที่ทำการของศาลเจ้า และเป็นบริเวณที่จำหน่ายเครื่องรางต่างๆ รวมทั้งเป็นบริเวณลงตราประทับ Goshuin แต่วันนี้ฝนตกคนเลยดูไม่เยอะ
ที่นี้จะเห็นหินเรียงรายมากมาย เพราะเนื่องจาก ชินโต เคารพธรรมชาติ ดังนั้น การเคารพหิน ต้นไม้ หรืออื่นๆ เพราะเขาเชื่อว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สถิตย์อยู่
เดินกลับออกมายังด้านหน้าจะมีที่เป็นศาลาให้นั่งพัก ผมชอบการออกแบบตรงนี้มาก อยากมีห้องแบบนี้
ขากลับเราเดินกลับไปยังสถานี ISESHI เดินข้ามทางม้าลายแล้วเดินตรงไปเลยสถานีรถไฟอยู่ข้างหน้า
สองข้างทางก็จะมีร้านค้าขายของให้เลือกซื้อกันแต่ไม่เยอะเท่ากับที่โตเกียว
แต่ผมมาชอบขนมคุณป้าร้านนี้ไม่รู้เรียกอะไร ขนมจะมีให้เลือกว่าจะเอาครีม , ชาเขียว , ถั่วแดง และอีกเยอะอร่อยสุดเป็นครีม ซื้อกินตอนแรก 6 ลูกแล้วชอบอร่อยดีเดินกลับไปซื้อใหม่ป้าแกแถมให้หลายอัน
ร้านขายขนมของฝาก ร้านอาหารสองข้างทางเดินกลับไปยังสถานีรถไฟ
กลับมายังสถานี ISESHI ที่นี้เราก็สงสัยว่าเราจองตั๋วรถไฟของเอกชนคือ Kintetsu มันต้องไปขึ้นตรงไหน เพราะตรงสถานี ISESHI มันเป็นของ JR
เดินเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ในสถานี JR ISESHI ว่าจะไปขึ้นรถไฟเอกชนของ Kintetsu ต้องไปขึ้นที่ไหน เจ้าหน้าที่เขาก็บอกว่าเดินเข้ามาที่นี้ละแล้วเดียวจะมีสะพานข้ามด้านในไปสถานี Kintetsu ได้ อ้อ…. มันเป็นอย่างนี้
เราก็เดินเข้ามาตอนผ่านประตูก็ยื่นตั๋วของ Kintetsu ให้เจ้าหน้าที่ดูเขาก็ให้เข้ามา เราก็จะเห็นป้ายเขียนว่าชานชาลา 4 – 5 ไปสาย Kintetsu Line ขึ้นสะพานข้ามมาเลย
เดินข้ามทางรถไฟของ JR มาก็จะเจอสถานีของ Kintetsu มารอยังชานชาลาที่ 4 ที่จะวิ่งไปยัง Nagoya , Osaka , Kobe , Kyoto ซึ่งจริงแล้วขบวนพิเศษอย่าง ชิมากาเซะ ( Premium Express SHIMAKAZE ) มันมีไปยังโอซาก้าได้เลย แต่เพราะวันที่ผมไปจองนั้นที่นั่งมันเต็มและการอยากนั่งก็เลยเลือกนั่งย้อนกลับมาที่นาโกย่าแล้วค่อยนั่งรถไฟต่อไปยังโอซาก้าอีกที
ชื่อสถานีก็เหมือนกันเลย ISESHI แต่เป็นของ Kintetsu
มาแล้วขบวนรถไฟพิเศษที่เราจองไว้ ชิมากาเซะ ( Premium Express SHIMAKAZE )
มาดูภายในด้านในกันจะเป็นกระจกบานใหญ่และที่นั่งเบาะใหญ่มากเป็นแบบ 3 – 1 และด้านท้ายจะเป็น 1 – 1 อันนี้เป็นที่นั่งธรรมดานะครับ
ตัวเบาะนี้เป็นเบาะนวดไฟฟ้านะครับ สามารถนั่งนวดไปได้เลยตลอดการเดินทาง
ด้านหน้าจะมีหนังสือแนะนำรถไฟขบวนนี้ พร้อมรหัสให้เลย Wifi ฟรี และที่รถไฟขบวนนี้มีอาหารซึ่งมีทั้งอาหารทะเล และเนื้อ Matsuzaka จำหน่ายบนรถไฟเลย
มีกระเป๋าใบใหญ่มาไม่ต้องกลัวมี Locker ในรถไฟให้ฝากของได้
ห้องน้ำต้องบอกว่าใหญ่มากและสะอาดมาก
ส่วนตรงนี้เรียกว่า Salon Seats จะเป็นที่นั่งห้องจะมีอยู่ 3 ห้องใน 1 ขบวน ห้องนี้นั่งได้ 6 คน
ทางเดินชมวิวไปยังส่วนของ Cafe Car หรือถ้าบ้านเราก็ห้องเสบียง
ในส่วนของตู้ Cafe Car จะมีที่นั่งแยกกันด้านบนกับด้านล่าง มาดูด้านบนกันก่อน เราสามารถสั่งอาหารแล้วนั่งทานตรงนี้ได้เลยจะมีเจ้าหน้าที่มาเสิร์ฟให้ถึงที่เลย
อันนี้เป็นที่นั่งด้านล่างของ Cafe Car เก้าอี้จะใหญ่กว่าและนั่งสบายกว่าด้านบน
รายการอาหารและราคา ในขบวนนี้มีขายหมดตั้งแต่ข้าวหน้าปลาไหล , ข้าวเนื้อ Matsuzaka , อาหารทะเล ส่วนขนมมี Cake อร่อยมากกินมาแล้วชอบ มีให้เลือกหลายรส และปิดท้ายที่ไอศครีมชาเขียว
และสุดท้ายก็มีของที่ระลึกของรถไฟขบวนนี้จำหน่ายให้เราเก็บไว้เป็นที่ระลึก ก็เลือกว่าอยากได้อะไรส่วนมากผมก็จะซื้อพวกพวงกุญแจมาเก็บ
อุดหนุนไอศครีมมากล่องนึง 350 เยน ชาเขียวหมดเลยเหลือแต่ Vanilla แต่ก็อร่อยนะใช้ได้
คุณนายแม่บอกนั่งสบายมาก เบาะใหญ่แถมเป็นเบาะนวดด้วยเพลินเลย มีถามอีกว่าขบวนอื่นที่จะนั่งต่อไปมีแบบนี้ไหม ^^
ด้านหน้าของตู้ก็จะมีจอบอกว่าเส้นทางว่าเราอยู่ถึงตรงไหนแล้ว และข้อมูลต่าง ๆ ให้เราได้ชมกัน
เวลามันสั้นนักจากสถานี ISESHI Kintetsu มายังสถานี KINTETSUNAGOYA ใช้เวลาเพียง 90 นาที รถไฟขบวนพิเศษชิมากาเซะ ( Premium Express SHIMAKAZE ) ได้รับรางวัล Blue Ribbon Prize 2014 คือรางวัลการออกแบบยอดเยี่ยม
โลโก้ด้านข้างตัวรถ Premium Express SHIMAKAZE
ด้านหน้าหัวขบวนของชิมากาเซะ ( Premium Express SHIMAKAZE ) สนใจข้อมูลรถไฟขบวนนี้ไปอ่านกันได้ที่นี้เลย >> http://www.kintetsu.co.jp/senden/shimakaze/en/
ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับรถไฟขบวนนี้กันหน่อยว่าครั้งนึงเคยนั่งแล้วกับ รถไฟขบวนพิเศษชิมากาเซะ ( Premium Express SHIMAKAZE ) ค่าเสียหายคนละ 3,900 เยน
เดินไปกันต่อยังมีเวลาเหลือเยอะก็ค่อย ๆ เดินไปยังยังสายรถไฟของ JR เพื่อไปขึ้น SHINKANSEN ไปยังโอซาก้า ( Osaka )
อันนี้ต้องขอบอกเลยว่าสถานีนาโกย่า ( Nagoya ) นั้นผมเดินใต้ดินแล้วหลงถึงจะมีป้ายบอกแต่ด้วยความที่มันใหญ่บวกกับมีสายรถไฟหลายสายเลยเลือกเดินขึ้นมาด้านบนก่อน ขึ้นมาแล้วถึงเห็นทิศทางว่าต้องเดินไปทางไหน เดินใต้ดินมันเหมือนกันหมด
ด้านหน้าของ JR Central Towers จะเห็นสัญลักษณ์นี้ด้านหน้า
ออกจากข้างนอกเดินง่ายกว่าเยอะ แล้วเข้ามาในตัวสถานีใหม่ทีนี้มองหาแค่ป้าย SHINKANSEN เท่านั้น
จากเมืองนาโกย่า ( Nagoya ) ก็ขึ้นเจ้า SHINKANSEN HIKARI 481 จากสถานี NAGOYA มายังสถานี SHIN-OSAKA ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึง
มาถึงแล้วเมืองโอซาก้า ( Osaka ) จากสถานี SHIN-OSAKA ตอนนี้ 2 ทุ่มแล้วก็เอาของไปฝากไว้ที่โรงแรมก่อนแล้วค่อยออกหาอะไรกิน โรงแรมที่จองไว้ไม่ไกลจากสถานี SHIN-OSAKA เท่าไหร่นักนั่งรถไฟใต้ดินต่อไปเพียง 1 สถานี
โรงแรมที่จองคือ Hotel Consort ซึ่งจากสถานี SHIN-OSAKA ต้องไปขึ้นรถไฟใต้ดินสาย Midosuji Line สายสีส้ม
วิธีดูทิศทางในสถานีรถไฟใต้ดินในโอซาก้า ( Osaka ) ก็ดูตรงป้ายว่าหัวลูกศรมันวิ่งไปทางไหนตรงชานชาลาที่เรายืนอยู่ แล้วก็ดูว่ามีสถานีที่เราต้องไปไหมเท่านั้นเอง
มาแล้วรถไฟนั่งไปโรงแรมก็จากสถานี SHIN-OSAKA ไปยังสถานี NISHINAKAJIMAMINAMIGATA เพียงแค่ 1 สถานีเท่านั้น ราคาค่าโดยสาร 180 เยน อันนี้เราใช้บัตร Suica จ่ายแทนเงิน
จากสถานี NISHINAKAJIMAMINAMIGATA ให้ออก Exit B ออกมาจากสถานีเลี้ยวซ้ายข้ามถนนมาก็เจอแล้วโรงแรม Hotel Consort ( ถ้าออกจากสถานีแล้วออกไปผิดทางข้ามถนนไปแล้วเจอ Lawson อันนั้นผิดให้เดินกลับมาอีกฝั่ง )
มาดูภายในห้องพักของโรงแรม Hotel Consort จองแบบเตียงคู่โรงแรมนี้จองผ่าน Booking.com ได้คืนละ 8,500 เยน ห้องใหญ่อยู่ไม่เก่ามากนอนได้สบาย
ห้องในน้ำตัว ความสะอาดโอเคทีเดียว ติดกับรถไฟฟ้าด้วยเดินทางสะดวกถือว่าใช้ได้กับการนอนที่นี้
ทีมงานเรายังไม่เหนื่อยกันไปกันต่อหลังจากเก็บของแล้ว และรับกระเป๋าที่ใช้บริการแมวดำส่งมาโตเกียวเอาเข้าห้องเรียบร้อยก็ไปกันต่อก็นั่งสาย Midosuji Line ไปยัง Namba ไปหาของกินและป้ายกูลิโกะ จากสถานี NISHINAKAJIMAMINAMIGATA ขึ้นชานชาลาที่ 1
ไปถึงย่าน Namba ก็เกือบ 3 ทุ่มครึ่งแล้วก็หาร้านกินข้าวกันก่อนดีว่ายังมีหลายร้านยังไม่ปิดแต่ฝนดันมาตกเลยเดินลำบากกันนิดนึง
หาไรกินง่าย ๆ เรียบร้อยก็เดินต่อผ่านคลองโดทงโบริ สวยสะอาด คนน้อยเพราะฝนตก
ไปมาหลายเมืองแล้วไม่ค่อยจะได้ถ่ายรูปฝาท่อเลย ฮาาาา วันนี้ขอถ่ายสักหน่อยกับฝาท่อของเมืองโอซาก้า ( Osaka )
และก็มาถึงจุดที่เรียกว่า Lanmark ของที่นี้ก็ว่าได้นั้นคือป้ายไฟกูลิโกะ ( Gulico ) ซึ่งเป็นป้ายรุ่นใหม่แล้ว ก็ถ่ายรูปกันแบบว่าจัดเต็มแต่ละคน
เวลาประมาณ 4 ทุ่มกว่าย่านโดทงโบริ ( Dotonbori ) คนก็ไม่ได้น้อยลงไปเลย
เดินกันจนดึกก็เตรียมตัวกลับให้ทันก่อนรถไฟเที่ยวสุดท้ายห้าทุ่มครึ่งก็เริ่มเดินหาทางไปลงสถานีรถไฟใต้ดิน ต้องพึ่ง Google Map ในการนำทางเพราะเดินเองแล้วหาสถานีไม่เจอ
เดินมาจนเจอสถานี Namba ต้องบอกว่าใหญ่มากจริง ๆ มีหลายทางออก ก็สุดท้ายของวันนี้แล้วก็นั่งรถไฟใต้ดินสายสีส้ม Midosuji Line จากสถานี NAMBA กลับไปยังโรงแรมที่สถานี NISHINAKAJIMAMINAMIGATA ก็เข้านอนพักผ่อน ก็เป็นการจบการเดินทางของผมในวันที่ 9 คงจบเท่านี้ ขอบคุณที่ติดตามการเดินทางในวันที่ 10 นะครับ
Final ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านเรื่องราวของผมในตอนแรกในการเดินทางไปยังญี่ปุ่นนะครับ ผิดถูกยังไงก็ขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วยแล้วกัน ชอบเรื่องราวการเดินทางของผมคิดว่ามีประโยชน์กับการเดินทางของท่านก็ฝากกด Like กด Share หรือบอกต่อ ๆ กันไป หวังว่าเรื่องราวการเดินทางของทางเราจะมีประโยชน์นะครับ
ติดตามตอนเรื่องราวการเดินทางวันที่ 10 ได้ที่นี้ : วันที่สิบของการเดินทาง ::: พาเที่ยวมรดกโลกปราสาทฮิเมะจิ ปิดท้ายค่ำคืนที่ Osaka Bay :::
T R A V E L – J A P A N – 2 0 1 5
- Travel Japan 2015 : Day 1
- Travel Japan 2015 : Day 2
- Travel Japan 2015 : Day 3
- Travel Japan 2015 : Day 4
- Travel Japan 2015 : Day 5
- Travel Japan 2015 : Day 6
- Travel Japan 2015 : Day 7
- Travel Japan 2015 : Day 8
- Travel Japan 2015 : Day 9
- Travel Japan 2015 : Day 10
- Travel Japan 2015 : Day 11