Travel Japan 2015 ::: พาเที่ยวเมืองหลวงของญี่ปุ่น ” โตเกียว ” ออกตามหา Gundam :::
Travel Japan 2015 : Day 7 พาเที่ยวเมืองหลวงของญี่ปุ่น ” โตเกียว ” ออกตามหา Gundam
ติดตามอ่านบทนำ ข้อมูลก่อนเดินทางทริปนี้ได้ที่นี้
+
ติดตามเรื่องราวการเดินทางได้ที่นี้
+ ตอนที่ 01 : วันแรกของการเดินทาง ::: ” ฟุกุโอกะ ” เมืองที่ถูกจัดอันดับว่าเป็นเมืองน่าอยู่อันดับที่ 12 ของโลก :::
+ ตอนที่ 02 : วันที่สองของการเดินทาง ::: เที่ยวเมือง Yufuin และนั่งรถไฟขบวนสุดฮิต Yufuin No Mori :::
+ ตอนที่ 03 : วันที่สามของการเดินทาง ::: เที่ยวปราสาทคุมาโมโตะ ตามรอยละครตามหา ศาลเจ้ากลกิโมโน :::
+ ตอนที่ 04 : วันที่สี่ของการเดินทาง ::: เดินทางไปหาเสาโทโรอิกลางน้ำ ที่ฮิโรชิมา ปิดท้ายที่ย่าน Sakae :::
+ ตอนที่ 05 : วันที่ห้าของการเดินทาง ::: พาไปจังหวัด ” ชิงะ ” เที่ยว 2 เมืองรอบทะเลสาบบิวะ :::
+ ตอนที่ 06 : วันที่หกของการเดินทาง ::: ฝนตกทั้งวันเที่ยวเมือง คามาคุระ และตอนเย็นที่โยโกฮาม่า :::
+ ตอนที่ 07 : วันที่เจ็ดของการเดินทาง ::: พาเที่ยวเมืองหลวงของญี่ปุ่น ” โตเกียว ” ออกตามหา Gundam ::: < กำลังอ่านอยู่บทความนี้ >
+ ตอนที่ 08 : วันที่แปดของการเดินทาง ::: เที่ยวนากาโน่ ต้องลองไปรู้จักแล้วจะหลงรักเมืองนี้ :::
+ ตอนที่ 09 : วันที่เก้าของการเดินทาง ::: เที่ยวจังหวัดมิเอะ พาไปยังศาลเจ้าอิเสะ Ise Jingu :::
+ ตอนที่ 10 : วันที่สิบของการเดินทาง ::: พาเที่ยวมรดกโลกปราสาทฮิเมะจิ ปิดท้ายค่ำคืนที่ Osaka Bay :::
+ ตอนที่ 11 : วันสุดท้ายของการเดินทาง ::: ไปเมืองหลวงเก่าเกียวโตเที่ยวป่าไผ่ ” อาราชิยาม่า ” ในวันฝนพรำ :::
Day 7 วันที่ 2 ก.ค. 2558 วันนี้เป็นวันที่ 7 ของการเดินทางเที่ยวในญี่ปุ่นของทริปปี 2015 วันนี้ผมมีภาระกิจแต่เช้านั้นคือไปรับ พ่อกับแม่ ซึ่งบินมาจากกรุงเทพด้วยสายการบิน Airasia ในคืนวันที่ 1 ก.ค. จะมาถึงเช้าวันนี้ ผมเลยต้องตื่นเช้าไปรับท่านทั้ง 2 และพวกเพื่อน ๆ ที่ทำงานด้วย ซึ่งมาคณะใหญ่ในวันนี้ การไปสนามบินขาไปผมไปคนเดียวเลยไม่ค่อยมีปัญหาให้พี่อีกคนนอนรออยู่ที่โรงแรม ขาไปผมใช้ JR Pass นั่งเข้า NEX ไปยังสนามบินนั่งรอบแรก 6 โมงไปถึงสนามบินประมาณ 7 โมงกว่า ๆ แต่มันเช้าเกิน ผมเลยไปเที่ยวัดในเมืองใกล้ ๆ สนามบิน นั้นคือ วัดนาริตะ แล้วค่อยไปรับพ่อกับแม่อีกที และจากสนามบินมายังโรงแรมผมยอมจ่ายเงินเพิ่มนั่ง Keisei Skyliner มายั่งสถานี Nippori เลย เพราะไม่อยากให้ลากกระเป๋าลงสถานีโตเกียวแล้วต่อรถไฟอีกถอด แถมเวลาถึงเร็วกว่าเลยยอมเสียเงินเพิ่ม
ที่เที่ยวหลัก ๆ ในวันนี้หลังจากไปรับพ่อกับแม่แล้วก็คงเป็นย่านอาซากุสะ ( Asakusa ) ไปเที่ยววัดที่ใครไปญี่ปุ่นต้องไปนั้นคือวัดเซ็นโซจิ ( Senso-ji ) ต่อด้วยไปเดินเล่นยังโตเกียวสกายทรี ( Tokyo Skytree ) และปิดท้ายผมต้องไปให้ได้คือเกาะโอไดบะ ( Odaiba ) เพื่อไปยัง Gundam Front Tokyo ติดตามการเดินทางในวันที่ 7 ได้เลยครับ
เช้านี้ผมตื่นแต่เช้าเลยเพราะจองตั๋วรถไฟ NEX เพื่อไปสนามบินนาริตะ ( Narita Airport ) ไว้ตอน 6 โมง 18 นาที รีบออกจากโรงแรมมาขึ้นรถไฟเพื่อไปสถานี TOKYO โดดขึ้น JR Keihin-Tohoku/Negishi Line Local พอดีมันมาก่อน เลยรีบขึ้นกลัวไม่ทัน NEX
ถึงสถานี TOKYO รีบวิ่งมองป้ายด้านบนทางไหนหว่าไปสนามบินนาริตะ ( Narita Airport ) รีบวิ่งไปเลย
ลงมาชั้นใต้ดินยังดีเวลาเหลืออยู่ประมาณ 15 นาที NEX ยังไม่มา ตอนลงมาเห็นขบวน JR Sobu Line กำลังออกคงมุ่งหน้าไป ชิบะ ( Chiba )
ไปยินรอรถไฟ NEX มารอยังตู้ที่ 1 เพราะผมได้นั่งตู้ 2 แต่มาตู้ 1 เพื่อนจะถ่ายหัวรถของ NEX
NEX วิ่งเข้ามาแล้ว แต่เฮ้ย…ทำไมหัวมันไปจอดไกลแบบนั้นละ ไม่จอดตรงป้ายก็กำลังรีบวิ่งไปขึ้นเจ้าหน้าที่ตรงสถานีขอดูบัตรจองผมว่านั่งตู้ไหน พอดูเสร็จแกบอกยืนรอที่เดิม แกบอกว่าเดียวมีอีกขบวนมันจะมาต่อกันที่นี้แล้วเดียวค่อยลากกันไปที่สนามบินนาริตะพร้อมกัน
ผมเลย อ๋อ…..เลยถามเจ้าหน้าที่ว่าทำไมเป็นแบบนั้น เขาบอกมันแยกกันมาจากคนละที่ 2 ขบวนแล้วเดียวมะเชื่อมกันที่นี้สถานีโตเกียวแล้วค่อยลากตู้ยาวไปที่สนามบินนาริตะพร้อมกัน
NEX อีกขบวนวิ่งเข้ามาสถานีตามที่เจ้าหน้าที่อธิบายให้ฟังเลย
พอมาครบทั้งสองขบวนเขาก็เชื่อมกันเป็นขบวน LTD. EXP NARITA EXPRESS 1 ออกจากสถานี TOKYO ไปยัง สถานี NARITA AIRPORT TERMINAL 1 และ 2
ยังพอมีเวลาก่อนออกวิ่งไปถ่ายหน้าหัวขบวนของเจ้า NEX หรือ LTD. EXP NARITA EXPRESS
ภายในของรถไฟ NEX เป็นเบาะสีดำแดง ขบวนเช้าแบบนี้คนเยอะเหมือนกันนะครับ
ด้านบนจะมีจอบอกว่ารถออกจากสถานีต้นทางกี่โมงและจะถึงปลายทางกี่โมง และสภาพภูมิอากาศในญี่ปุ่นแต่ละจุดเป็นอย่างไรดูได้จากจอในรถไฟเลยครับ
นั่งมา 57 นาทีก็ตีสักชั่วโมงจากโตเกียว ( Tokyo ) ก็มาถึงสนามบินนาริตะ ( Narita Airport ) ไฟข้างตัวรถ LTD. EXP NARITA EXPRESS
ที่สถานี NARITA AIRPORT TERMINAL 2 ผมเห็นมีที่นั่งกั้นเป็นห้องสำหรับคนที่ใช้บริการของ NEX
มาถึง 7 โมง 15 นาที เครื่อง Airasia ยังไม่มาโดยส่วนใหญ่จะมาถึงประมาณ 8 โมง 30 นาที บวกเวลาผ่าน ตม. อีกตีสัก 9 โมงน่าจะเสร็จฉะนั้นผมมีเวลาเหลืออีกชั่วโมงกว่าเลยตัดสินใจไปเที่ยวเมืองนาริตะ ( Narita ) ซึ่งนั่งรถไฟจากสนามบินไปเพียง 12 นาที เลยไปเดินเล่นที่นั้นก่อนดีกว่า
ผมก็เลยนั่งขบวน JR Sobu/Narita Line Rapid จากสถานี NARITA AIRPORT TERMINAL 2 ไปยังสถานี NARITA
มาแล้วขบวน JR Sobu/Narita Line Rapid นั่งแปปเดียวก็ถึงเมืองนาริตะ
สำหรับคนงบน้อยรถไฟสายนี้ก็เข้าถึงโตเกียวนะครับ แต่มันใช้เวลาเยอะกว่านั่งเจ้า NEX เพราะมันจอดหลายสถานี
มาถึงเมืองนาริตะ ที่ตั้งใจเลยตั้งใจไปยังวัดนาริตะซัง( Naritasan Temple )
คือมีแผนที่ในมือแล้วแต่ให้ชัวร์ถามทางคนหน้าสถานีเขาก็บอกว่าออกจากสถานีแล้วเดินไปทางซ้ายมือ ตอนเช้าแบบนี้เห็นเด็กนักเรียนเดินไปทางซ้ายนั้นเยอะ ผมก็เลยถามว่าตามเด็กนักเรียนใช่ไหม เบาบอกว่าใช่แต่พอถึงสามแยกแล้วเราต้องเลี้ยวขวานะ เรากบอก OK แล้วเดินตามน้อง ๆ นักเรียนญี่ปุ่นไปกันเลย
เนื่องจากมันยังเช้าอยู่ 7 โมงครึ่งร้านค้าขายของเลยยังไม่เปิดกันผมเดินจนมาถึงสามแยกจะเจอเหมือนศาลเจ้าทางซ้ายมือ
ตรงกลางเหมือนวงเวียนจะมีเสาเขียนป้ายวัดนาริตะซัง( Naritasan Temple ) ให้เดินไปทางขวา เหมือนกับที่คนหน้าสถานีรถไฟบอกเลยผมก็เดินไปทางขวามือเลย
ทางมันจะเป็นเหมือนทางลงเขานะครับตอนเดินลงไม่มีปัญหาหรอกครับ มีปัญหาตอนเดินกลับมันเหนื่อยเพราะต้องเดินขึ้นเขา แต่สองข้างทางคิดว่าถ้ามาสาย ๆ หรือ 10 โมงไปแล้วร้านค้าแถวนี้คงเปิดและน่าเดินกว่านี้เยอะ
เดินลงจากป้ายให้เลี้ยวขวาเดินไปประมาณ 10 – 15 นาทีก็มองเห็นซุ้มประตูอันใหญ่โตของวัดนาริตะซัง ( Naritasan Temple ) ประตูหลัก “ Somon Gate ” ซึ่งจะอยู่ทางซ้ายมือของถนน
ทางเดินเข้าไปในวัดผมว่าสวยกว่าวัดเซ็นโซจิ ( Senso-ji ) ในอาซากุสะ ( Asakusa ) อีกนะ แถมสถานีที่ดูใหญ่กว่า
ก่อนเข้าวัดก็ต้องล้างมือทั้งสองข้าง ล้างปากแล้วค่อยเข้าอย่าลืมนะครับ
วัดนะริตะซัง ( Naritasan Temple ) เป็นวัดพุทธที่ตั้งอยู่ในเมืองนะริตะ จังหวัดชิบะ ประเทศญี่ปุ่น ประตู ” Nimon Gate ” เป็นประตูที่สร้างเมื่อปีค.ศ. 1830 ซึ่งประดับด้วยโคมไฟกระดาษสีแดงขนาดใหญ่
ตัววัดต้องเดินขึ้นบันไดไปด้านบนเขา
ภายในวัดมีอาคารที่หลากหลายตั้งอยู่ในบริเวณที่กว้างขวาง เช่น ห้องโถงหลัก เจดีย์ 3 ชั้นสไตล์ Tahoto มีชื่อว่า Great Pagoda of Peace
เมื่อเข้ามาด้านในก็จะเจอกับอาคารหลัก ” Great Main Hall ” ที่เพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่เมื่อปีค.ศ. 1986 แทนอาคารดั้งเดิม
วัดนะริตะซัง ( Naritasan Temple ) ก่อตั้งเมื่อปีค.ศ 940 เป็นวัดขนาดใหญ่และมีความเก่าแก่กว่าหนึ่งพันปี วัดนาริตะซันเป็นวัดพุทธนิกายชินงอน ( Shingon ) ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในแถบคันโตและเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสำหรับนักท่องเที่ยว
เจดีสีแดงสามชั้น ” Three-story Pagoda ” สร้างเมื่อปีค.ศ. 1712 ในสมัยเอโดะ
อาคารดั้งเดิม ” Shakado Hall ” สร้างขึ้นมาเมื่อปีค.ศ. 1858 ซึ่งเคยใช้เป็นอาคารหลักก่อนที่จะมีการสร้าง ” Great Main Hall ” ขึ้นมา
พอ 8 โมงก็เริ่มมีผู้คนมายังวัดแห่งนี้ ก็ถึงเวลาที่ผมต้องรีบไปสนามบินแล้วกว่าจะเดินไปสถานีรถไฟอีกก็ครึ่งชั่วโมงพอดี
กลับก็ออกทางเดิมไปยัง ประตูหลัก “ Somon Gate ” แล้วขวามือเดินกลับขึ้นเขาทางที่มาเลยครับ
ใช้เวลาเดินกลับมากกว่าขามาเพราะเหมือนเดินขึ้นเขาใช้เวลาจากวัดมาถึงสถานีประมาณ 25 – 30 นาที ด้านหน้าของสถานีรถไฟ JR NARITA
ขากลับไปสนามบินนาริตะ ( Narita Airport ) ก็ขึ้นขบวนเหมือนตอนมา JR Sobu/Narita Line Rapid ไปยัง NARITA AIRPORT TERMINAL 2
ยืนรออยู่ที่ชานชาลาหมายเลข 3 ก็เห็นเจ้า NEX ตีโค้งเข้ามาแล้วแต่ไม่จอดสถานีนี้นะครับ ไม่งั้นก็ขึ้นไปแล้ว
มาแล้วขบวน JR Sobu/Narita Line Rapid ไปสนามบินกันเลยดีกว่าจะ 9 โมงแล้วป่านนี้ XJ ของ Airasia คงลงมาเรียบร้อยแล้ว ต้องรีบไปรับพ่อแม่เดียวเขาจะรอนาน
ถึงสนามบินผมก็รีบวิ่งหน้าตั้งเลย ดีว่าผมนัดเขาเจอตรงที่ขายตั๋วของ KEISEI เดินไม่ไกลจากชานชาลารถไฟ
พอดีกันเลยผมขึ้นไปยืนรอไม่นานพ่อกับแม่ และเพื่อน ๆ ผมก็เดินมาถึงหน้าห้องขายตั๋วรถไฟของ KEISEI สีน้ำเงินเด่นเลย ส่วนบัตร JR Pass ของพ่อแม่และเพื่อน คนต่อแถว JR ยาวผมเลยไว้เข้าไปแลกที่ Ueno ละกันเพราะรีบเข้าโตเกียว
และนี้คือบัตร Skyliner ผมก็ให้แม่ซื้อเจ้าตั๋วรถไฟ Skyliner บนเครื่องบินของ Airasia เลยเพราะมันลดราคาจากราคาปรกติ 2,470 เยน เหลือ 2,200 เยน วิธีการใช้ก็ไม่ยากเอาตั๋วที่ซื้อบนเครื่องไปยื่นที่เคาเตอร์ของ KEISEI แล้วเจ้าหน้าที่จะถามว่าไปรถไฟรอบไหน เราก็เลือกรอบเร็วที่สุดเขาก็จะเปลี่ยนเป็นตั๋วจริงให้ แค่นั้นเองง่ายมาก
ไปรอยังจุดรอเจ้ารถไฟ Keisei Skyliner ชานชาลาที่ 1 ตรงนี้ต้องระวังนิดนึงเพราะในชานชาลาเดียวกันมันมีวิ่งหลายขบวนอย่าขึ้นผิดละ
Keisei Skyliner เหมือนได้รับความนิยมอยู่เหมือนกัน ตอนที่ยืนรอเห็นคนไทยหลายคนก็มาใช้บริการ คงเพราะมันมีแบบตั๋วโปรกับรถไฟใต้ดินด้วยละมั้งทำให้ค่าตั๋วการเดินทางในโตเกียวมันถูกลง
มายืนรอยังป้ายตู้ที่ 2 ที่เราออกตั๋วไว้ Keisei Skyliner เป็นรถไฟสายเอกชนฉะนั้นจะใช้บัตร JR Pass ไม่ได้นะครับ แต่อย่างที่บอกที่ผมยอมเสียเพราะไม่อยากให้พ่อแม่ลากกระเป๋าต่อรถไฟ นั่งคันนี้คันเดียวถึงสถานี NIPPORI เลย แถมเร็วกว่าด้วยใช้เวลาเพียงแค่ 36 นาทีก็ถึงแล้ว
มาแล้วขบวน Keisei Skyliner ด้านบนมีป้ายเขียนว่าไป Ueno คือสถานีสุดท้ายของขบวนนี้
มาดูภายในของขบวน Skyliner กันครับ
ห้องน้ำนี้ทันสมัยใหม่แถมใหญ่ด้วย ลงจากเครื่องบินมาสามารถล้างหน้าแปรงฟันบนรถไฟขบวนนี้ได้เลย
ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง สามารถหมุนเก้าอี้เข้าหากันได้ และด้านหน้าที่นั่งก็จะมีเต้าเสียบปลั๊กไฟไว้ให้ชาร์ตไฟโทรศัพท์ได้ด้วย
เก้าอี้กของ Skyliner จะเป็นสีน้ำเงินเข้ม จะแตกต่างกับขบวน NEX ของ JR ซึ่งจะเป็นแดงดำ แต่ความสบายของเก้าอี้นั่งพอ ๆ กันครับ
ด้านหน้าก็จะมีแผนที่บอกว่ารถไฟ Skyliner ตอนนี้วิ่งถึงไหนแล้ว
ตรงเวลามากจากสนามบิน NARITA AIRPORT TERMINAL 2 มายังสถานี NIPPORI ใช้เวลา 36 นาทีก็ถึงแล้วเร็วมาก ๆ ถ้าเทียบกับที่นั่ง NEX ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 60 นาที
เดินตามป้ายเลยไปยังโรงแรมที่จองไว้ Hotel MyStays Nippori ก็ออกทาง Exit South ได้เลยก็จะมาออกทางเดียวกับที่ออกของสถานี JR
ทางออกของ Keisei Line Nippori ประตูทางออก South ที่ผมเดินผ่านทุกวันทีเดินไปสถานีรถไฟ JR Nippori เอาของไปเก็บโรงแรมเรียบร้อยก็พาพ่อแม่และเพื่อน ๆ กินข้าวร้านด้านหน้าโรงแรมใกล้ ๆ เพื่อจะไปต่อ
ออกจากโรงแรมผมก็พาทุกคนที่พึ่งมาไปยังสถานีรถไฟ UENO เพื่อไปเปิดบัตร JR Pass แบบ 7 วันก่อนและจองที่นั่งที่จะใช้ในวันที่เหลือ คนไม่เยอะเลยครับแลกบัตรไม่ต้องต่อคิวนานเหมือนที่สนามบินนาริตะ และก็ซื้อบัตร Suica ไว้ใช้เดินทางกับสายรถไฟเอกชน ที่นอกเหนือจากบัตร JR Pass จะใช้ได้ เพื่อให้ง่ายในการเดินทาง
จุดหมายที่ไปต่อก็ตั้งใจไปย่านอาซากุสะ ( Asakusa ) ก็จากสถานี UENO ผมก็ไปขึ้นรถไฟใต้ดินสาย Ginza line ไปลงยังสถานี ASAKUSA โดยใช้บัตร Suica ในการจ่ายค่าเดินทาง
ถึงสถานี ASAKUSA ออกไปยังทางออก Exit 1 เลยจะใกล้สุดเดินขึ้นไปแล้วเดินตรงไปก็เจอวัดเซ็นโซจิ ( Senso-ji )
ขึ้นมาด้านบนอย่างแรกเลยเจอทีมรถลาก ยืนแจกโบชัวร์แนะนำและสถานที่เที่ยวและราคาค่าบริการลาก
ถึงหน้าทางเข้าวัดเซ็นโซจิ ( Senso-ji ) ประตูนี้เรียกว่า Kaminarimon หรือ Thunder Gate เป็นประตูทางเข้าวัด ก่อนเข้าก็ขอถ่ายรูปทั้งทีมเป็นที่ระลึกที่เดินทางมากับผมรอบนี้ พ่อกับแม่ผมคนกลางในรูปเลยยืนหัวขาวเกาะไหล่แม่
ได้เวลาละลายทรัพย์กับสองข้างทางหน้าวัดเซ็นโซจิ ( Senso-ji ) กับถนนนากามิเซะ ( Nakamise dori )
ถึงฝนจะตกปรอย ๆ แต่นักท่องเที่ยวก็ไม่ได้ลดลงเลยคนเยอะมาก ๆ ข้างหน้าเป็นประตูโฮโซมอน ( Hozomon )
ก่อนเข้าวัดญี่ปุ่นก็ตามธรรมเนียมเขาละครับ ล้างมือล้างปาก
วัดเซ็นโซจิ หรือรู้จักกันดีในชื่อวัดอาซากุสะ ( Asakusa Kannon Temple ) เป็นที่ประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิมองค์เล็กเพียง 5 นิ้ว ตามตำนานเล่าว่ามีชาวประมงสองพี่น้อง ได้ทอดแหติดมาที่แม่น้ำซูมิดะ แม้จะทิ้งลงสู่แม่น้ำกี่ครั้ง ก็จะทอดติดแหของพวกเขาขึ้นมาทุกที จึงได้สร้างวัดนี้ขึ้นมาให้เป็นที่ประดิษฐานองค์เจ้าแม่กวนอิม
ตรงกระถางธูปจะมีความเชื่อว่า คือควันจากธูปกำยานนั้นช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยครับ ให้เราวักมือพาควันเข้าหาตัว เจ็บไหล่เจ็บแขนก็วักเข้าไหล่เข้าแขน เจ็บเข่าเจ็บขาก็วักเข้าเข่าเข้าขา
วัดเซ็นโซจิ เป็นวัดพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงโตเกียวและอยู่คู่กับกรุงโตเกียวมาตั้งแต่ พ.ศ. 1171 มีพื้นที่กว้างขวางและใหญ่ที่สุดในโตเกียว
มีคนจากทั่วสารทิศเดินทางมาวัดอาซากุสะเพื่อสักการะองค์เจ้าแม่กวนอิม จนล่ำลือไปถึงท่านโชกุน ท่านโชกุนจึงได้ให้มีการสร้างอาคารหลังใหญ่ขึ้นในปี ค.ศ. 645 และต่อเติมส่วนต่าง ๆ เรื่อยมาอย่างที่เห็นในปัจจุบันนั้น
อาคารหลักที่เป็นที่ประดิษฐานพระโพธิสัตว์คันนน ( Kannon Bosatsu )
ตู้บริจาคใบโต เขาแนะนำว่าให้โยนเหรียญบริจาคลงไป และควรจะบริจาคเป็นเหรียญที่มีเลข 5 ทั้ง 5 เยน 50 เยน หรือ 500 เยน ซึ่งให้ความหมายที่ว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง
เจดีย์สูง 5 ชั้นที่วัดเซ็นโซจิ ( ที่มาจาก th.wikipedia.org )
ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็นนักท่องเที่ยวเช่ากิโมโนมาใส่แล้วคนก็เลยขอถ่ายรูปกันนะ
อย่างที่บอกวันนี้ฝนตกตลอดฟ้าไม่เปิด ทำให้มองเห็นตึก TOKYO SKYTREE ไม่ชัดเท่าที่ควร
ถึงเวลาต้องเดินไปที่อื่นต่อผมก็นัดเวลากับพวกพี่ ๆ ว่ากี่โมงเจอกันหน้าทางเข้าวัด แต่ผมออกมาก่อนเพราะตั้งใจไปถ่ายภาพมุมสูงของบริเวณตรงนี้
ชอบมากบอกเลย เด็กนักเรียนญี่ปุ่นมาขอให้ผมช่วยถ่ายรูปให้กับพวกเขาหน่อย ตรงด้านหน้าโคมแดงประตู Kaminarimon
ผมออกมาก่อนก็ข้ามถนนจากหน้าวัดไปฝั่งตรงข้ามจะเป็นอาคารสูงประมาณ 7 ชั้นตั้งอยู่ตรงขามกับประตู Kaminarimon
อาคารตรงนี้คือ Asakusa Culture Tourist Information Center เป็นที่บริการสำหรับนักท่องเที่ยว แถมในตัวอาคารยังมีอะไรให้ดูหลายอย่าง แต่ที่มาเพื่อจะขึ้นไปชั้นบนสุดของอาคารถ่ายภาพมุมสูงของย่าน Asakusa
ชั้นบนสุดจะมีร้านขายกาแฟและมีที่ให้นักพักผ่อนแบบในรูปเลย ซึ่งตรงนี้จะเปิดโล่งสามารถถ่ายภาพมุมสูงในย่านนี้ได้ทั้งหมด
ถ่ายลงไปยังวัดเซ็นโซจิ ( Senso-ji ) จะเห็นคนเดินกันเยอะมากตรงถนนนากามิเซะ ( Nakamise dori )
อีกฝั่งนึงก็จะเห็นฝั่งแม่น้ำซูมิดะ ( Sumida ) ก็จะเห็นตึกเบียร์อาซาฮี และ โตเกียวสกายทรี ( TOKYO SKYTREE )
พอมากันครบผมก็เดินย้อนกลับไปทางฝั่งแม่น้ำซูมิดะ ( Sumida ) เพื่อไปถ่ายรูปด้านแถวริมแม่น้ำ
เดินมาไม่ไกลก็จะถึงริมฝั่งแม่น้ำซูมิดะ ( Sumida ) จะเห็นสะพานแดง แล้วก็ตึกเบียร์อาซาฮี ชัดเจน
ถ่ายรูปเสร็จก็ไปต่อยัง โตเกียวสกายทรี ( TOKYO SKYTREE ) ก็ข้ามถนนไปยังตึก Matsuya เขาจะเขียนบอกว่าเป็น TOBU SKYTREE Line ซึ่งใครไม่อยากเดินไปยังตึก โตเกียวสกายทรี ( TOKYO SKYTREE ) ก็ต้องมาขึ้นรถไฟตรงนี้นะครับ
เดินขึ้นไปชั้น 2 เลยจะเป็นชานชาลา ส่วนค่ารถไฟนั้นผมใช้บัตร Suica จ่ายแทน
ขึ้นไปรอรถไฟสาย Tobu Skytree Line Local จริงความห่างจากสถานี ASAKUSA มันก็สถานีเดียวแต่เพื่อนเคยบอกเดินไกลอยู่ก็เลยพาพ่อกับแม่ขึ้นรถไฟดีกว่า
จากสถานี ASAKUSA( TOBU/SUBWAY ) ไปยังสถานี TOKYO SKYTREE ใช้เวลาเดินทางเพียง 3 นาทีเท่านั้น
ระหว่างทางเจอป้ายครบรอบ 3 ปี หลังจากเปิดตัวหอส่งสัญญาณที่สูงที่สุดในโลกตอนนี้ โตเกียวสกายทรี ( TOKYO SKYTREE ) ในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
ด้านล่างของ โตเกียวสกายทรี ( TOKYO SKYTREE ) เป็นห้าง Tokyo Solamachi ผมก็แยกย้ายใครอยากเดินตรงไหนก็ไปแล้วเดียวค่อยมาเจอกันตรงจุดนัดพบ
ส่วนตัวผมออกมาด้านนอกเพื่อมาถ่ายภาพบริเวณทั้งหมดของ โตเกียวสกายทรี ( TOKYO SKYTREE )
วันนี้มีเมฆมากทั้งวันทำให้ท้องฟ้าวันนี้ปิด
เดินออกมาด้านหน้าจะเป็นคลองซึ่งบ้านเขานี้น้ำสะอาดมาก เป็นแหล่งพักผ่อนได้เลย สะพานข้ามคอลง Oshinari – Hashi Bridge ตั้งอยู่ติดกับห้าง Tokyo Solamachi
จะซื้อตั๋วขึ้นไปชมด้านบนเจ้าหน้าที่ก็บอกวันนี้อากาศปิดนะคะ อาจจะมองไรได้ไม่เห็นมากนักเจ้าหน้าที่ถามเราอีกครั้งว่าจะขึ้นไหม เราได้ยินแบบนั้นก็ไม่ขึ้นดีกว่า เลยซื้อของที่ระลึกด้านล่างแทน
นั่งรอเวลานัดกว่าเพื่อน ๆ กับพ่อแม่ซื้อของกันเสร็จก็เกือบ 6 โมงเย็นแล้ว ผมก็นั่งรอกิน KFC ตรงใต้ห้าง Tokyo Solamachi ด้านหน้ามองเห็นเจ้าโตเกียวสกายทรี ( TOKYO SKYTREE )
เจอทุกคนครบผมก็ไปจุดหมายสุดท้ายของผมนั้นคือไปโอไดบะ ใต้ห้าง Tokyo Solamachi สามารถเดินไปสถานีรถไฟได้อีกสถานีคือสถานี OSHIAGE
ผมก็นั่งจากสถานี OSHIAGE ใช้สาย Toei Subway Asakusa Line มาลงยังสถานี SHIMBASHI เพื่อไปยังโอไดบะ
จากสถานี SHIMBASHI ขึ้นรถสาย Yurikamome เป็นระบบคมนาคมโดยรถไฟฟ้าอัตโนมัติไร้คนขับ ในกรุงโตเกียว ผมเลยไปนั่งด้านหน้าของขบวนเห็นวิวที่รถไฟวิ่งผ่านเลย
สักพักก็มองเห็นสะพานสายรุ้ง ( Rainbow Bridge ) ป็นสะพานแขวนที่ทอดข้ามทางตอนเหนือของอ่าวโตเกียว เชื่อมระหว่างย่านชิบะอุระกับย่านโอไดบะในเขตมินะโตะ กรุงโตเกียว
ผมนั่งจากสถานี SHIMBASHI มาลงยังสถานี DAIBA(TOKYO) เพื่อมาหาเทพีเสรีภาพ ไม่ใช่ !! ผมมาตามหากันดั้ม ( Gundam ) มากกว่า แต่ก่อนไปกันดั้มก็ถ่ายเก็บไว้สักหน่อย
เดินตามทางไปทางห้าง Drive City
ทางเดินไปห้าง Drive City ซ้ายมือจะเป็น อาคารฟูจิทีวี ( Fuji TV Building ) เป็นสำนักงานใหญ่ของสถานีโทรทัศน์ฟูจิทีวี และมีหอชมวิวทรงกลมที่อยู่บนชั้น 25 ของตัวอาคาร ที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์เมืองโอไดบะ
ถึงแล้ว Gundam Front Tokyo เจอเจ้า Gundam RX78-2 ขนาดเท่าของจริง ๆ เห็นแล้วมันอลังการงานสร้างมากทีเดียว
รีบขึ้นไปชั้นบนสุดก่อนเวลาเขาจะปิดเพื่อเข้าไปยัง Gundam Front Tokyo
ที่นี้จะขายสินค้าที่ระลึกจะเป็น Gundam ที่มีตรา GFT นั้นคือจะมีขายที่ Gundam Front Tokyo ที่เดียวเท่านั้น ส่วนที่เห็นขายในบ้านเราก็ไปหิ้วจากที่นี้กันมาขาย
นอกจากโมเดลแล้วยังมีหนังสือที่ระลึกการสร้างเจ้า Gundam RX78-2 ขนาดเท่าของจริง และพวกสมุดปาก แก้ว
เดินด้านบนเสร็จแล้วมารอเวลาเล่นแสงสียังข้างหน้าห้างจะเริ่มประมาณ 1 ทุ่มกว่า ๆ มีเวลาเหลือก็เลยไปนั่งหาไรทานเล่นที่ Gundam Cafe
และก็ถึงเวลาการโชว์แสงสีเสียงบนตัว Gundam RX78-2 เขาทำเป็น Effect ภาพบนกำแพงและตัว Gundam ใช้เวลาแสดงประมาณ 20 นาที
มีแฟน ๆ Gundam แบบผมจากชาติต่าง ๆ รวมถึงชาวญี่ปุ่นเองก็มานั่งดูกันเยอะ
ถึงเวลาต้องกลับแล้วครับอยู่ที่โอไดบะจน 3 ทุ่มกว่าก็ถึงเวลากลับไปนอนพักละครับเดินมาทั้งวัน
ขากลับก็มาทางไหนกลับทางนั้นเลยเดินไปยังสถานี DAIBA(TOKYO) ขึ้นขบวน Yurikamome ไปลงยังสถานี SHIMBASHI ตรงนี้ใช้บัตร Suica จ่าย แล้วจาก SHIMBASHI นั่งขบวน JR Yamanote Line อันนี้ใช้บัตร JR Pass ไปลงยังสถานี NIPPORI ได้เลย ขอบคุณที่ติดตามการเดินทางในวันที่ 7 นะครับ
Final ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านเรื่องราวของผมในตอนแรกในการเดินทางไปยังญี่ปุ่นนะครับ ผิดถูกยังไงก็ขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วยแล้วกัน ชอบเรื่องราวการเดินทางของผมคิดว่ามีประโยชน์กับการเดินทางของท่านก็ฝากกด Like กด Share หรือบอกต่อ ๆ กันไป หวังว่าเรื่องราวการเดินทางของทางเราจะมีประโยชน์นะครับ
ติดตามตอนเรื่องราวการเดินทางวันที่ 8 ได้ที่นี้ : วันที่แปดของการเดินทาง ::: เที่ยวนากาโน่ ต้องลองไปรู้จักแล้วจะหลงรักเมืองนี้ :::
T R A V E L – J A P A N – 2 0 1 5
- Travel Japan 2015 : Day 1
- Travel Japan 2015 : Day 2
- Travel Japan 2015 : Day 3
- Travel Japan 2015 : Day 4
- Travel Japan 2015 : Day 5
- Travel Japan 2015 : Day 6
- Travel Japan 2015 : Day 7
- Travel Japan 2015 : Day 8
- Travel Japan 2015 : Day 9
- Travel Japan 2015 : Day 10
- Travel Japan 2015 : Day 11