Travel Japan 2015 ::: เดินทางไปหาเสาโทโรอิกลางน้ำ ที่ฮิโรชิมา ปิดท้ายที่ย่าน Sakae :::
Travel Japan 2015 : Day 4 เดินทางไปหาเสาโทโรอิกลางน้ำ ที่ฮิโรชิมา ปิดท้ายที่ย่าน Sakae
ติดตามอ่านบทนำ ข้อมูลก่อนเดินทางทริปนี้ได้ที่นี้
+
ติดตามเรื่องราวการเดินทางได้ที่นี้
+ ตอนที่ 01 : วันแรกของการเดินทาง ::: ” ฟุกุโอกะ ” เมืองที่ถูกจัดอันดับว่าเป็นเมืองน่าอยู่อันดับที่ 12 ของโลก :::
+ ตอนที่ 02 : วันที่สองของการเดินทาง ::: เที่ยวเมือง Yufuin และนั่งรถไฟขบวนสุดฮิต Yufuin No Mori :::
+ ตอนที่ 03 : วันที่สามของการเดินทาง ::: เที่ยวปราสาทคุมาโมโตะ ตามรอยละครตามหา ศาลเจ้ากลกิโมโน :::
+ ตอนที่ 04 : วันที่สี่ของการเดินทาง ::: เดินทางไปหาเสาโทโรอิกลางน้ำ ที่ฮิโรชิมา ปิดท้ายที่ย่าน Sakae ::: < กำลังอ่านอยู่บทความนี้ >
+ ตอนที่ 05 : วันที่ห้าของการเดินทาง ::: พาไปจังหวัด ” ชิงะ ” เที่ยว 2 เมืองรอบทะเลสาบบิวะ :::
+ ตอนที่ 06 : วันที่หกของการเดินทาง ::: ฝนตกทั้งวันเที่ยวเมือง คามาคุระ และตอนเย็นที่โยโกฮาม่า :::
+ ตอนที่ 07 : วันที่เจ็ดของการเดินทาง ::: พาเที่ยวเมืองหลวงของญี่ปุ่น ” โตเกียว ” ออกตามหา Gundam :::
+ ตอนที่ 08 : วันที่แปดของการเดินทาง ::: เที่ยวนากาโน่ ต้องลองไปรู้จักแล้วจะหลงรักเมืองนี้ :::
+ ตอนที่ 09 : วันที่เก้าของการเดินทาง ::: เที่ยวจังหวัดมิเอะ พาไปยังศาลเจ้าอิเสะ Ise Jingu :::
+ ตอนที่ 10 : วันที่สิบของการเดินทาง ::: พาเที่ยวมรดกโลกปราสาทฮิเมะจิ ปิดท้ายค่ำคืนที่ Osaka Bay :::
+ ตอนที่ 11 : วันสุดท้ายของการเดินทาง ::: ไปเมืองหลวงเก่าเกียวโตเที่ยวป่าไผ่ ” อาราชิยาม่า ” ในวันฝนพรำ :::
Day 4 วันที่ 29 มิ.ย. 2558 วันนี้เป็นวันที่ 4 ของการเดินทางเที่ยวในญี่ปุ่นของทริปปี 2015 วันนี้เราออกทางออกจากภูมิภาคคิวชูแล้ว เพราะผมต้องมารับ ” พ่อกับแม่ ที่จะบินจากกรุงเทพมาลงที่โตเกียว ในวันที่ 2 ก.ค. 2558 ” แต่ระหว่างทางเราแวะเที่ยวมาเรื่อย ซึ่งจุดหมายของวันนี้ที่จะไปให้ได้เลยคือไปดูเสาโทโรอิกลางน้ำ ที่เกาะ มิยาจิม่า ( Miyajima ) ที่เมืองฮิโรชิมา ( Hiroshima ) ส่วนสวนสันติภาพนั้นแล้วแต่เวลาว่าจะไปทันไหมถ้าไม่ทันไว้คราวหน้า ( Peace Memorial Park ) เพราะในช่วงบ่ายเราจะต้องเดินทางไปยังเมือง นาโกย่า ( นาโกย่า ) เมืองที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค Chubu แล้วนอนพักที่นี้ เลยมีเวลาในช่วงตอนเย็นไปเดินยังวัด Osu Kannon Temple และปิดท้ายย่าน Sakae ในเมืองนาโกย่า ติดตามการเดินทางในวันที่ 4 ได้เลยครับ
วันนี้เป็นวันแรกของผมที่เปิดใช้งาน JR Pass ทั่วประเทศแบบ 7 วัน ทำให้เรานั่งรถไฟความเร็วสูง SHINKANSEN นั่งไปไหนมาไหนก็ได้ภายในระยะเวลา 7 วันนี้
วันนี้เราออกมาจากโรงแรมตี 5 ครึ่งเพราะเราดันจองขบวนรถไฟเที่ยวเช้าสุดเที่ยว 6 โมง 16 นาที แต่ก่อนออกมาจากโรงแรมเมื่อคืน เราได้คุยกับพนักงานว่าช่วยส่งกระเป๋าไปโรงแรมที่เราจองที่โตเกียวได้ไหม ซึ่งเป็นโรงแรมในเครือ Hotel MyStays เหมือนกัน ทางเจ้าหน้าที่โรงแรมก็บอกได้เลย เสียค่าส่งไปดีกว่าแบกใบใหญ่ไป เพราะผมจะเข้าไปถึงโตเกียวในคืนวันที่ 30 มิ.ย. 2558 ผมก็เลยถือแต่เป้ใบเล็กใส่เสื้อผ้าสำหรับ 2 วันไป
แล้วก็รีบนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินเที่ยวแรกมายังสถานี HAKATA ก็ยังมีเวลาเหลืออีกพอสมควรกว่ารถไฟจะออก
เจ้าหน้าที่ใน JR แต่งตัวเรียบร้อยกันทุกคนเรื่องนี้ต้องยอมรับเลย และมีระเบียบวินัยกันมาก ๆ
เราก็เดินมาที่ชานชาลาที่ 14 หรือที่ญี่ปุ่นใช้คำว่า Track หมายเลข 14 ก็อ่านดูบนป้ายว่าตรงไหนเป็นที่จอดของขบวน SHINKANSEN HIKARI Rail Star 442 เป็นขบวนแบบ 8 ตู้ เราก็ยืนป้ายสีเขียวในตู้ที่ 8 เพราะเราจองไว้ได้ที่นั่งในตู้ 8
มาแล้วเจ้า SHINKANSEN HIKARI Rail star 442 ซึ่งเป็นสีเทา มีลายดำเหลืองด้านข้างตัวรถ เป็นรุ่น 700 series ซึ่งวิ่งมาตั้งแต่ปี 2009 ไฟด้านหน้าจะแตกต่างกับตัว รุ่น N700 series
ตรงราวรั้วตรงที่ชานชาลาก็จะมีป้ายบอกถึงผังของตู้ในรถไฟที่จะจอดในชานชาลานี้ ดูง่ายเลยครับเวลาเรารู้ว่านั่งตู้ไหน ดูได้จากตั๋วที่จองไว้จะมีบอก
ด้านข้างเจ้า SHINKANSEN HIKARI Rail Star จะมีป้าย Rail Star อยู่ข้างตัวรถ รถขบวนนี้วิ่งจากสถานี HAKATA ไปสุดปลายทางที่สถานี SHIN-OSAKA เท่านั้น
ด้านหน้าก็มีป้าย Rail Star และเป็นขบวนรถไฟของ JR West เรานั่งไปลงที่ฮิโรชิมาใช้เวลาเดินทาง 90 นาที
ถึงจะเป็น SHINKANSEN รุ่นเก่าแต่ความสะอาด ความสะดวกสะบายก็ไม่แพ้พวกรุ่นใหม่เลย ที่นั่งของรถไฟสาย Sanyo ในการดูและของ JR west นี้ที่นั่งใหญ่มากจะเป็นแบบ 2 – 2
ด้านหน้าของตู้โดยสารเราเป็นห้องขนาดเล็ก 4 ห้องเราเลยถามเจ้าหน้าที่ว่าห้องอะไร เขาบอกว่าเป็นชั้น Green Car หรือบิสเนส นั้นเอง
เราก็ขอมาถ่ายตรงส่วนของ Green Car สักหน่อย
นั่งหลับไป แป๊ปเดียวเราก็มาถึงสถานี HIROSHIMA เวลา 7 โมง 45 นาที รถไฟมาถึงตรงเวลามาก ๆ
ช่วงเช้าคนยังไม่เยอะมาก เราก็เดินหาทางลงไปก็เดินตามคนเขาเลยไม่หลงแน่
แล้วเจ้าขบวน SHINKANSEN HIKARI Rail Star 440 ก็ออกตัวไปยังสถานีหน้า ขอบคุณที่มาส่งนะ
เราต้องต่อรถไฟท้องถิ่นเพื่อไปยังเกาะ มิยาจิม่า เราก็ออกจากด้านที่เป็นของรถไฟ SHINKANSEN ไปยังที่จอดรถไฟสาย JR Lines สำหรับเราถือบัตร JR Pass ก็ให้เจ้าหน้าที่ดูในช่องด้านขวามือในรูป เจ้าหน้าที่จะดูวันว่าเกินหรือยังแค่นั้นเองแล้วก็ให้เราเดินผ่าน
ผมออกมาทาง South Gate หรือทางใต้ออกมาก็เจอตู้ Locker ฝากกระเป๋าผมกับพี่อีกคนเลยฝากในตู้เดียวกันเลย เป็นตู้รุ่นใหม่ด้วยใช้บัตร IC Card จ่ายแทนเงินสดได้
เดินตามป้ายไปยังสาย JR Lines
เราจะไปหาเสากลางน้ำเราต้องไปลงที่สถานี MIYAJIMAGUCHI โดยใช้สาย JR Sanyo Line ในรูปก็คือสายสีแดงตัว R เขียนชัดเจนเลยว่าไปยัง MIYAJIMAGUCHI ต้องไปขึ้นชานชาลาหมายเลข 1
มารอเวลาขึ้นรถไฟสาย JR Sanyo Line
แผนที่รถไฟภายในเมืองฮิโรชิมา ใครอยากได้แบบ PDF เข้าไปทีนี้เลยครับ http://www.hiroden.co.jp/en/s-routemap.html
มาแล้วรถไฟท้องถิ่นคันสีเหลืองสาย JR Sanyo Line ที่จะพาเราไปยังสถานี MIYAJIMAGUCHI
ที่นี้มีระเบียบในการต่อแถวขึ้นรถไฟมาก ให้คนในขบวนออกมาก่อนแล้วจึงค่อยเข้า
ด้านในรถยังมีแผนที่บอกเส้นทาง เราก็ดูว่าสถานี MIYAJIMAGUCHI จะมีรูปเรือและเสาโทโรอิสีแดง นั้นคือปลายทางของเรา
ใช้เวลาเดินทางจากสถานี HIROSHIMA ครึ่ง ชม. ก็ถึงแล้วครับ แล้วก็เดินตามป้ายเลยจะเขียนว่า Ferryboat For Miyajima
ใครที่มีกระเป๋าใบใหญ่มาหรือของมาสามารถฝากไว้ที่ Locker ในสถานี MIYAJIMAGUCHI ได้ก่อนนะครับ
เดินตามป้ายไม่หลงแน่ ๆ แม้แต่ตรงพื้นทางเดินก็มีป้ายบอกทางไป Miyajima Ferry Port
เดินมาจนถึงสี่แยกจะเจอรูปปั้นด้านหน้าของท่าเรือ JR
ข้ามถนนมาตรงช่องนี้เป็นเรือ Ferry อีกเจ้านึงไปได้เหมือนกัน แต่เราถือบัตร JR Pass เราเลือกไปนั่งเรือของ JR เพราะมันไม่ต้องเสียเงินเพิ่มสำหรับผู้ถือบัตร JR Pass
ท่าเรือ Ferry ของ JR จะอยู่ติดกับของเอกชน แต่ด้านบนมีป้ายเขียน JR ชัดเจน
เราไม่ต้องเข้าไปในตัวอาคารเพื่อซื้อตั๋ว เพราะเราใช้บัตร JR Pass ก็เดินไปด้านข้างอาคารตามป้ายจะไปยังท่าขึ้นเรือ เรามาเช้าถึงตรงนั้นประมาณ 8 โมงกว่า ๆ คนยังน้อย
เรือมาแล้วเราก็เดินตามกันขึ้นเรือไปเลยเป็นเรือ Ferry ขนาดใหญ่ 3 ชั้น ชั้นล่างจอดรถ เรานั่งได้ชั้น 2 และชั้น 3
ที่นั่งด้านในของเรือของ JR ที่นั่งกว้างขวาง แต่ผมอยากได้ถ่ายวิวด้านนอก เลยไปนั่งเก้าอี้ด้านนอกได้บรรยากาศดีกว่า
ใช้เวลานั่งเรือประมาณ 10 นาที เราก็เห็นเสาโทโรอิกลางน้ำ อันขึ้นชื่อของที่นี้แล้ว
เรือก็พาเรามาถึงยังเกาะ มิยาจิมา ( Miyajima ) ขากลับเราก็มาขึ้นเรือที่เดิมกลับไปฝั่งโน้นเหมือนเดิม
ตอนจะออกมายังท่าเรือจะมีเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วเราเพียงยื่นบัตร JR Pass ให้ดูแค่นั้นเหมือนตอนนั่งรถไฟ ก็ผ่านออกมาได้เลย แล้วก็ไม่ลืมที่จะแวะ Information หยิบแผนที่ของเกาะมิยาจิม่า
บริเวณด้านหน้าของท่าเรือมิยาจิม่า เป็นลานโล่ง ๆ ถ้ามาหน้าร้อนจัดสงสัยร้อนพอดีกว่าจะเดินออกไปถึงเสาโทโรอิกลางน้ำ
และต้องไม่พลาดกับน้องกวาง พี่ใหญ่ในแถบนี้ แต่เราไปเช้าหน่อยเขาก็เลยยังนอนกันอยู่ไม่มีเดินออกมาเพ่นพ่าน
พึ่งเคยเห็นรถส่ง Coke ในญี่ปุ่นครั้งแรกบอกตรง ๆ พนักงานกำลังเอากระป๋องเข้าตู้
เดินไปตามทางเดินจะเห็นเสาทางเข้าตั้งอยู่อย่างเห็นได้ชัดตลอดทางเดินไปยังศาลเจ้าลอยน้ำ
อีกเรื่องตั้งแต่มาญี่ปุ่นบอกเลยบ้านเมืองเขาสะอาดมาก เจ้าหน้าที่กวาดถนนกันแต่เช้า ที่บนเกาะมิยาจิม่า นี้ก็เช่นกันเห็นเจ้าหน้าที่ทำงานกันแต่เช้าในการเก็บกวาดใบไม้
เริ่มเห็นเสาโทโรอิกลางน้ำแล้ว
มิยาจิม่า เรียกอีกอย่างว่า เกาะแห่งศาลเจ้า เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีสัญลักษณ์ญี่ปุ่นคือ “ โทโรอิ ” ซุ้มประตูสีแดงในน้ำทะเลหน้าศาลเจ้าอิทสึคุชิมะจินจะ
ช่วงเช้ายังเป็นเวลาที่น้ำนั้นลงมองเห็นศาลเจ้าอยู่ข้างหน้า
เราต้องทำการซื้อตั๋วก่อนเข้าชมกันก่อนนะครับ ถ้าจำไม่ผิดค่าตั๋ว 300 เยน
ได้มาละตั๋วสวยดีเก็บเป็นที่ระลึกว่าครั้งนึงเคยมาที่แห่งนี้
ถ้ามาช่วงน้ำขึ้นตรงนี้คงเต็มไปด้วยน้ำเหมือนศาลเจ้าลอยอยู่บนน้ำแน่ ๆ
ศาลเจ้าแห่งนี้มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนที่ไหน โครงสร้างประกอบด้วยศาลเจ้าหลักและศาลเจ้ารอง มีทั้งที่ยกพื้นสูงและต่ำ เชื่อมต่อกันด้วยทางเดินยาวไปจนถึงทะเล เวลาที่น้ำขึ้นก็จะเหมือนกับศาลเจ้าที่ลอยอยู่กลางทะเล ซึ่งศาลเจ้าแห่งนี้ ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกด้วย
ศาลเจ้ามิยาจิม่า หรือเรียกอีกชื่อว่า อิทสึคุชิม่า (Itsukushima Shrine) ศาลเจ้าเก่าแก่ที่สร้างครั้งแรกในศตวรรษที่ 6 สมัยพระจักรพรรดิสุอิโกะ อีกครั้งในสมัยของข้าหลวงไทราโน คิโยโมริ มีการสร้างขยายเพิ่มเติมและเปลี่ยนแปลงรูปแบบให้สวยงามและใหญ่โตขึ้นภายในประดิษฐานเทพเจ้าในศาสนาชินโต
วันนี้ด้านในเขามีพิธีแต่งงานกันด้วยเห็นเจ้าสาวใส่ชุดกิโมโนสวยมาก
น้ำลดจนเดินลงไปถ่ายในทะเลได้ถึงขนาดนั้นในช่วงสาย ๆ
สะพานไม้แดงข้ามไปยังด้านหลัง แต่เขาปิดไม่ให้เราข้ามออกไป
ทางบังคับให้ออกมาด้านหลังซึ่งด้านหลังก็มีทางให้เลือกเดินต่อไปยังบนเขา หรือ ออกไปยังท่าเรือซึ่งจะผ่านร้านขายของมากมายสองข้างทาง
ระหว่างทางเดินกลับไปท่าเรือเจอเด็กในเครื่องแบบนักเรียนญี่ปุ่นด้วย ไม่รู้ว่ามาเที่ยวหรือมีโรงเรียนบนเกาะนี้
ตอนเช้าเดินมาร้านยังไม่เปิดกันเลยพอ 10 โมงร้านเริ่มทยอยกันเปิดแล้ว
แล้วก็ได้เวลาที่ผมกับเพื่อนจะกินอาหารเช้าตอน 10 โมงที่ญี่ปุ่นแล้วไม่เลือกร้านมากนักเอาใกล้ ๆ เลยเพราะหิวมากแล้ว
ลูกค้าโต๊ะแรกของร้านนี้
อย่างแรกที่ต้องสั่งเมื่อมาเกาะมียาจิม่า นั้นคือ ” หอยนางรมย่าง ” บอกเลยว่าอร่อย
และตบด้วยข้าวหน้าหมูทอดร้อน ๆ สักจานอิ่มไปยันมื้อกลางวัน
ทานเสร็จเดินกลับไปยังทาเรือคนเริ่มเยอะขึ้นทัวร์เริ่มพาลูกทัวร์มาลงเที่ยวยังเกาะมิยาจิม่ากันแล้ว ดีว่าเรามาแต่เช้าสาย ๆ เราก็กลับไม่เจอทัวร์กลุ่มใหญ่
เดินกลับมาขึ้นเรือที่เดิมที่ท่าเรือบนเกาะมิยาจิม่า หรือ Miyajima Port นั่นเอง แล้วเราก็นั่งเรือของ JR กลับมายังฝั่งแผ่นดินใหญ่
ถ้ามีรถมาบนเรือด้วยเขาจะกั้นยังไม่ให้เราลงไปนะครับ เขาจะให้รถออกไปก่อนคนถึงจะลงตามไปได้เพื่อความปลอดภัย
ตอนเช้าที่เรามาถึง 8 โมงกว่า ๆ ไม่มีคนเลยพอตอนนี้ใกล้ ๆ 11 โมงคนเพียบยืนรอต่อแถวขึ้นเรือไปยังเกาะมิยาจิม่า
เดินกลับไปทางเดิมเหมือนตอนขามากลับไปขึ้นรถไฟสถานี MIYAJIMAGUCHI เพื่อกลับไปยังสถานี HIROSHIMA
ขึ้นรถไฟท้องถิ่นสาย JR Sanyo Line คันสีเหลืองเหมือนเดิมกลับไป
แต่ขากลับไปนี้เจอน้อง ๆ นักเรียนญี่ปุ่น คิดว่าคงไปทัศนะศึกษากันเพราะมีคุณครูมาด้วย ใช้รถไฟในการเดินทาง เราขออนุญาตคุณครูขอถ่ายรูปความน่ารักของ ๆ น้อง ๆ
พอถึงสถานีข้างหน้าที่จะลงคุณครูก็จะเรียกนักเรียนมายืนต่อแถวกันที่ประตูเพื่อเตรียมตัวลง จะมีครูผู้ชายปิดท้ายขอดูเด็กตกค้างหรือเปล่าบนรถไฟ
ภายในตัวรถไฟท้องถิ่นสาย JR Sanyo Line ถึงข้างนอกดูเก่าแต่ข้างในสะอาดแล้วดูใหม่ คงบำรุงรักษากันอย่างดีมาก ๆ เลย
กลับมาถึงสถานี HIROSHIMA ดูนาฬิกาแล้วยังพอมีเวลาอีกเป็นชั่วโมงก่อนที่รถไฟขบวนที่เราจองไว้ช่วงบ่ายโมงกว่า ๆ จะมาพอมีเวลานั่งรถราง ( Tram ) ไปยังสวนสันติภาพ
ผังแสดงสถานีรถรางออกมาจากสถานีรถไฟ HIROSHIMA ทางด้าน South Exit แล้วเดินมาด้านหน้าก็ถึงแล้ว
สถานีรถราง ( Tram ) ก็อยู่ด้านหน้าสถานีรถไฟ HIROSHIMA เดินกันไม่ไกล ก็ดูที่ป้ายเลยเราจะไปยัง Atomic Bomb Dome ก็ไปรอรถรางตรงนั้น
ไปยังสวนสันติภาพหรือ Atomic Bomb Dome ต้องนั่งรถรางสาย 2 และสาย 6 เท่านั้นนะครับ หรือใครไปหลายที่ก็สามาถซื้อตั๋วแบบ 1 Day Pass ได้ตรงเคาเตอร์ Information ของ Tram ได้เลยครับ
รอไม่นานรถราง ( Tram ) สาย 2 ที่จะผ่านยัง Atomic Bomb Dome ก็มาเป็นรถพ่วง 2 ตอน ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ 2 คนในขบวนแบบนี้คือตรงคนขับ และตรงประตูกลางรถ
ผมอยากได้บัตรเป็นที่ระลึกด้วยเลยยอมซื้อตั๋วแบบ 1 Day Streetcar Pass มาในราคา 600 เยน ใช้งานวันไหนก็ขูดเลขวันนั้น แล้วตอนขึ้นลงก็เพียงแต่ยิ่นวันที่ขูดในบัตรให้เจ้าหน้าที่ดูเท่านั้นเอง
แผนที่แสดงการเดินรถรางและเวลาที่จะไปถึงเริ่มจากที่สถานีรถราง Hiroshima
ภายในรถรางรุ่นใหม่ที่นั่งสะอาดกว้างขวางอย่างเราไปยัง Atomic Bomb Dome ต้องไปลงยังป้าย Genbaku Dome – mae
นั่งรถราง ( Tram ) มาประมาณ 25 นาทีก็ถึงป้าย Genbaku Dome – mae ตอนลงผมก็แค่โชว์บัตร 1 Day Streetcar Pass ให้เจ้าหน้าที่ดูแค่นั้นเอง
ป้าย M10 Genbaku Dome – mae คือป้ายสถานที่ Atomic Bomb Dome
ผังแสดงบริเวณป้าย Genbaku Dome – mae ข้ามถนนมาก็ถึง Atomic Bomb Dome , สวนสันติภาพ ( Peace Memorial Park )
ตามผังด้านบนเราก็ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามก็ถึงแล้วสวนสันติภาพ
เดินข้ามมาสิ่งแรกที่เจอคือซากของตัวอาคารที่หลงเหลือในสงครามโลกครั้งที่ 2 Atomic Bomb Dome
เก็มบากุโดมุ (Genbaku Domu) ซากอาคารที่โดนระเบิดถล่ม แต่ยังคงเก็บรักษาสภาพความเสียหายที่ถูกระเบิดไว้ ทั้งโครงตึกและโดม
สถานที่แห่งนี้แสดงซากคอนกรีตที่เหลือจากการถูกระเบิด โจมตีทางอากาศ เป็นสถานที่ที่เป็นจุดศูนย์กลางระเบิด ที่โดนถล่ม ณ วันที่ 6 สิงหาคม 1945 ซึ่งสถานที่แห่งนี้ ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก องค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกด้วย
ข้ามสะพานไปยัง พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สันติภาพ ( Peace Memorial Museum )
อนุสาวรีย์ของการ ” พับนกเพื่อสันติภาพ ” ของเด็กหญิงที่ชื่อ ซาดาโกะ
ตรงนี้ยังเป็นที่มาของการ “พับนกเพื่อสันติภาพ” เรื่องราวที่เด็กหญิงผู้หนึ่งป่วยด้วยโรคมะเร็งในเม็ดเลือด อันเป็นผลมาจากกัมมันตภาพรังสีของระเบิด เธอเชื่อว่าถ้าพับนกกระเรียน 1,000 ตัวก็จะไม่ตาย แต่ขณะพับนกได้ 954 ตัว “ซาดาโกะ” ก็เสียชีวิต
เดินไปต่อยัง พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สันติภาพ (Peace Memorial Museum) แต่คิดว่าเวลาไม่พอเลยไม่เข้าไป
พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สันติภาพ (Peace Memorial Museum) แสดงภาพความโหดร้ายของระเบิดปรมาณู ไว้เป็นเครื่องเตือนใจสำหรับผู้ที่ต้องการครองความเป็นเจ้าโลก และต้องการผลิตอาวุธร้ายแรงนี้ ความร้อนและความทารุณของผู้คนนับแสนที่ถูกระบิดในเช้าวันที่ 6 สิงหาคม 1945 เมืองทั้งเมืองหายไปในพริบตา ผู้คนนับแสนตายและบาดเจ็บทุกข์ทรมานอย่างไม่อาจบรรยายได้
ยังมีผู้คนเอาดอกไม้มาวางและอาลัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต และขอให้โลกนี้มีแต่สันติ
อนุสาวรีย์และเปลวไฟแห่งสันติภาพ ยังคงมีไว้ให้รำลึกถึง อนุสาวรีย์มีคำจารึกว่า “จงเข้าสู่นิทราอย่างสงบ ความผิดพลาดมิอาจเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิม”
อยู่ตรงนี้สักพักก็ถึงเวลาที่ผมต้องรีบกลับไปยังสถานีรถไฟ HIROSHIMA แล้ว
<
ก็ข้ามไปรอรถรางที่เกาะกลางที่สถานีเดิม Genbaku Dome – mae และรอรถราง ( Tram ) สาย 2 และสาย 6
รอไม่นานรถราง ( Tram ) สาย 6 ก็มาเป็นรถรุ่นเก่าแบบตอนเดียว
กลับมาหน้าสถานี HIROSHIMA ก็รีบวิ่งเข้าไปในตัวสถานีรถไฟรีบไปเอาของที่ Locker ที่ฝากกระเป๋าไว้แล้วรีบไปรอรถไฟ
เดินตามป้ายไปยัง Shinkansen Gate เพราะเวลาเหลืออีก 20 นาที กลัวจะตกรถไฟไม่งั้นยาวแน่งานนี้
มารอยังชานชาลายังดีพอมีเวลาเหลือให้ซื้อน้ำ เจ้าขบวน N700 series ก็กำลังเข้ามายังชานชาลา
เป็นขบวนรถเร็วที่สุดวิ่งตูมเดียวถึง Tokyo ขบวน SHINKANSEN NOZOMI 132 มีตราสีเขียวคือชั้นของ Green Car ต้องจองที่นั่งเท่านั้น มีป้าย Reserved
และขบวนของเราก็มาถึงแล้ว SHINKANSEN SAKURA 552 เป็นรถรุ่น N700 series เหมือนกันผมไปลงที่สถานี SHIN-KOBE
นั่งมาใช้เวลา 74 นาที ผมก็มาถึงสถานี SHIN-KOBE มาต่อรถไฟสายโทไกโด ( Tokaido Shinkansen ) เพื่อไปยังสถานี NAGOYA
มาจากสถานี HIROSHIMA ไม่ต้องเปลี่ยนชานชาลา เพียงแต่ไปยืนตรงตู้ของเราที่จองและรอรถไฟ SHINKANSEN HIKARI 474 ที่เราจองไว้
เข้าโค้งมาแล้วขบวน SHINKANSEN HIKARI 474
ผมมัวแต่ถ่ายรูปตอนหลังรีบวิ่งขึ้นกลัวตกรถ นั่งจากสถานี SHIN-KOBE ไปลงสถานี NAGOYA ใช้เวลา 68 นาทีในการเดินทาง
สิ่งหนึ่งที่ Shinkansen สายโทไกโด ( Tokaido Shinkansen ) เป็นของ JR Central ใจปล้ำสู้สายซันโย ( Sanyo Shinkansen ) เป็นของ JR West ไม่ได้นั้นคือ ” ที่นั่ง ” ที่นั่งของสายซันโย ( Sanyo Shinkansen ) ในรถไฟจะเป็นที่นั่งแบบ 2 – 2 แต่สายโทไกโด ( Tokaido Shinkansen )จะเป็นแบบ 3 – 2 นั่งอึดอัดกว่าเยอะหลังจากนั่งมา
นั่งซักพักก็จะมีเจ้าหน้าที่มาขอประทับตราที่ตั๋วที่เราจองไว้ พนักงานของ JR ในแต่ละเขตชุดพนักงานจะไม่เหมือนกันเลยนะครับ
นั่งผ่านสถานี SHIN-OSAKA เดียววันท้าย ๆ เราจะมานอนที่เมืองนี้ แต่วันนี้เป็นทางผ่านไปก่อนนะ
และก็ผ่านสถานี KYOTO
และก็มาถึงสถานี NAGOYA เราก็ไปตามป้ายที่เขียน Kintetsu เพราะผมจะไปจองรถไฟขบวนพิเศษที่ชื่อว่า ชิมากาเซะ ( Premium Express SHIMAKAZE ) ซึ่งเป็นรถไฟสายเอกชนใช้ JR Pass จองไม่ได้แต่อยากนั่งยอมจ่ายตังค์ เพื่อให้ได้นั่งขบวนนี้ ซึ่งจะไปขึ้นในวันที่ 4 ก.ค.
พอซื้อตั๋วรถไฟขบวนพิเศษ ชิมากาเซะ ( Premium Express SHIMAKAZE ) ได้แล้วก็ไปยังโรงแรมคือจุดหมายต่อไป ต้องไปนั่งรถไฟใต้ดินสายสีส้ม Sakuradori Line จากสถานี NAGOYA ไปลงสถานี HISAYAODORI ตรงนี้รถไฟฟ้าใต้ดินไม่สามารถใช้บัตร JR Pass ได้ เราก็ใช้บัตร IC Card ที่เรามีนั้นคือบัตร Suica เติมเงินแล้วใช้แทนเลยสะดวกง่ายดี
เพียง 5 นาทีก็มาถึงสถานนี HISAYAODORI สถานีนี้มันใหญ่มากขวางตัดรถไฟฟ้าใต้ดิน 2 เส้นคือสีส้มและสีม่วง เราเดินไปออกทางออกที่ Exit 4 Saida
โผล่มายังด้านบนพอขึ้นมาจะเจอสี่แยกฝั่งตรงข้ามจะเห็น Starbucks แล้วเราเดินหันหลังมาเดินไปจนเจอสามแยกแรกแล้วเลี้ยวขวาเข้าไปในซอย
โรงแรมที่เราจองไว้จะอยู่ทางขวามือของถนน ถ้าเดินเข้าไปตามทางผม
ที่พักเราในคืนนี้คือ Meitetsu Inn Nagoya Nishiki จองผ่านทาง Agoda ได้มาคืนละ 1,066 บาท เดียวมาดูกันว่าห้องเป็นไง ออมีอาหารเช้าด้วยนะ
ห้อง OK เลยมีทุกอย่างครบนอนสบาย สะอาดดีด้วยนะครับ
มีห้องน้ำในตัวเลย ในราคา 1,066 บาท ถือว่าไม่แพงเลยทีเดียว
ล้างตัวล้างหน้าเข้าห้องน้ำเสร็จ ก็ออกไปเดินเล่นต่อยังไม่มืดเดินกลับไปทางเดิมเพื่อขึ้นรถไฟใต้ดินตั้งจะไปวัด Osu Kannon Temple เพราะตรงนั้นมีถนนคนเดินด้วยเลยเลือกไปตรงนี้ก่อน
นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีส้มที่สถานี HISAYAODORI ขึ้นขบวน Sakuradori Line ไปลงยังสถานี MARUNOUCHI(SUBWAY) เพื่อเปลี่ยนเป็นสายสีฟ้า Tsurumai Line ไปลงยังสถานี OSUKANNON
แผนที่รถไฟฟ้าใต้ดินในเมืองนาโกย่า ( Nagoya ) ใครอยากได้แบบ PDF เข้าไปทีนี้เลยครับ http://www.kotsu.city.nagoya.jp
นั่งสายสีส้มแล้วมาลงสถานี MARUNOUCHI(SUBWAY) และรอสาย Tsurumai Line สายสีฟ้าไปลงยังสถานี OSUKANNON
เดินออกทาง Exit 2 เดินตรงมาจะเจอป้ายทางซ้ายมือ คือ Osu Kannon Temple
หน้าทางเข้ามันเงียบแล้วเพราะมัน 5 โมงเย็นแล้วแต่วัดนี้เปิด 24 ชม. นะครับท่าจำไม่ผิด
วัดโอสึคันนง ( Osu Kannon Temple ) เป็นหนึ่งในสามของวัดที่บูชาเจ้าแม่กวนอิมที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นวัดประจำตระกูลโอดะ นอกจากนี้ยังมีวัดบันโชจิซึ่งโทกุงาวะ อิเอะยาสุเคยพักอยู่เมื่อครั้งเป็นตัวประกัน
แรกเริ่มสร้างขึ้นในสมัยคามาคุระ(Kamakura Period 1192-1333) ในจังหวัดกิฟุ แล้วถูกย้ายมาตั้ง ณ ปัจจุบันในปี 1612 หลังจากนั้นพระอุโบสถได้รับความเสียหายจากอุทกภัยซ้ำๆอย่างรุนแรง ดังนั้นอาคารปัจจุบันจึงสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 20
วัตถุประสงค์หลักของวัดแห่งนี้ คือการเคารพบูชารูปสลักไม้ของเทพคันนอน เทพแห่งความเมตตา ซึ่งแกะสลักโดยพระสงฆ์ Kobo Daishi ภายใต้ห้องโถงใหญ่ คือห้องสมุดชินปูคุจิ ( Shinpukuji Library ) ที่จัดเก็บหนังสือภาษาญี่ปุ่นและภาษาจีน กว่า 15,000 เล่ม หนังสือเหล่านี้เป็นสมบัติของชาติ และเป็นมรดกทางวัฒนธรรม รวมถึงสำเนาที่เก่าแก่ที่สุดของพงศาวดารโคจิคิ ( Kojiki ) ที่รวบรวมประวัติศาสตร์ต้นกำเนินของญี่ปุ่น ( ทีมาจาก http://www.talonjapan.com )
ด้านข้างทางขวามือของวัดนั้นจะเป็น Osu Shopping Arcade เป็นย่านถนนร้านค้ายาวไปต่อกันอีกถนนกันเลยทีเดียว
เดินเล่นไปเรื่อยเห็นร้านไหนคนกินเยอะ ผมก็แวะลองชิมตามทางมาเลย
เดินข้ามถนนไป ก็ยังมีถนนคนเดินให้เดินกันต่อไปอีกยาวก็จะมีร้านประมาณถึง 400 ร้านค้ากันเลยทีเดียว
ผมเดินจนมาชนกับสถานีรถไฟสายสีม่วง Meijo Line ที่สถานี KAMIMAEZU ก็ตั้งใจไปลงที่ต่อไปนั้นคือย่าน Sakae
จากสถานี KAMIMAEZU ใช้สายสีม่วง Meijo Line ( Clockwise ) ไปลงยังสถานี SAKAE(AICHI)
ออกจากสถานีรถไฟใต้ดินก็อ่านป้ายมาเรื่อยดูว่าตรงไหนเขียนออกมาทาง Oasis 21 ก็มาทางนั้นเลย เดินมาก็มาโปล่อยู่ชั้นล่างของ Oasis 21
ที่นี้มีร้านอาหารหลายร้าน ผมเลยมานั่งทานอาหารมื้อเย็นที่นี้เลย
โอเอซิส 21 ( Oasis 21 ) จัดเป็นแลนด์มาร์คของย่าน “ ซากาเอะ ” ซึ่งอยู่ใจกลางเมืองนาโกย่า
อาคารแห่งนี้ซึ่งสร้างอยู่ด้านศูนย์ศิลปะไอชิ และสวนสาธารณะฮิซะยะ โอโดะริ โดยสร้างลึกลงไปในชั้นใต้ดินเป็นส่วนใหญ่ อาคารมีลักษณะเด่นที่หลังคาซึ่งเป็นโครงสร้างกระจกรูปทรงรีขนาดใหญ่และลอยอยู่เหนือพื้นอาคาร ภายในหลังคายังถูกเติมเต็มด้วยน้ำเพื่อที่จะสร้างเทคนิคพิเศษในการมองเห็น และเพื่อลดอุณหภูมิให้เย็นลงบริเวณร้านค้า รวมถึงพื้นที่ว่างสาธารณะสำหรับการจัดงานสำคัญๆ ซึ่งรู้จักในชื่อ “มิลกี้ เวย์ สแควร์” ในฤดูร้อน
ต่อมาเดินถ่ายรูปไกล ๆ มองเห็นยัง นาโกย่า ทีวี ทาวเวอร์ ( Nagoya TV Tower ) นาโกย่า ทีวี ทาวเวอร์เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของนาโกย่าเช่นเดียวกับปราสาทนาโกย่า และได้รับการรับรองให้เป็น “ พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของคู่รัก ” ในปีค.ศ.2008
มีจุดชมวิวสูง 90 ม. จึงสามารถมองเห็นทัศนียภาพของนาโกย่าและพื้นที่รอบๆได้ 360 องศา ค่าเข้าชม 700 เยน
และก็เดินตามผู้คนไปก็มาโผล่เอาย่าน Sunshine Sakae จะเห็นตรงนั้นมีห้างที่มีชิงช้าสวรรค์ขนาดสูง 52 เมตรที่มีชื่อว่า “ Sky Boat ” ซึ่งทางเข้าอยู่บนชั้น 3 และฝั่งตรงข้ามจะเป็นห้างดองกี้ ผมก็เดินเล่นสักพัก
เดินไปเดินมา 5 ทุ่มกว่าจากตรงนั้นไปยังโรงแรมเดินไม่ไกลผมเลยไม่นั่งรถไฟเดินไปเรื่อย ๆ ก็ยังเห็นคนปั่นจักรยานกันอยู่เลย ก่อนข้ามทางแยกไปโรงแรมอย่างที่บอกมีร้าน Starbucks ผมก็เลยสั่งชาเขียวปั่น เดินดูดไปจนถึงโรงแรม ก็จบการเดินทางวันที่ 4 ของผมแต่เพียงเท่านี้ เข้าโรงแรมก็อาบน้ำนอน พร้อมลุยต่อในเช้าพรุ่งนี้
Final ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านเรื่องราวของผมในตอนแรกในการเดินทางไปยังญี่ปุ่นนะครับ ผิดถูกยังไงก็ขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วยแล้วกัน ชอบเรื่องราวการเดินทางของผมคิดว่ามีประโยชน์กับการเดินทางของท่านก็ฝากกด Like กด Share หรือบอกต่อ ๆ กันไป หวังว่าเรื่องราวการเดินทางของทางเราจะมีประโยชน์นะครับ
ติดตามตอนเรื่องราวการเดินทางวันที่ 5 ได้ที่นี้ : วันที่ห้าของการเดินทาง ::: พาไปจังหวัด ” ชิงะ ” เที่ยว 2 เมืองรอบทะเลสาบบิวะ :::
T R A V E L – J A P A N – 2 0 1 5
- Travel Japan 2015 : Day 1
- Travel Japan 2015 : Day 2
- Travel Japan 2015 : Day 3
- Travel Japan 2015 : Day 4
- Travel Japan 2015 : Day 5
- Travel Japan 2015 : Day 6
- Travel Japan 2015 : Day 7
- Travel Japan 2015 : Day 8
- Travel Japan 2015 : Day 9
- Travel Japan 2015 : Day 10
- Travel Japan 2015 : Day 11