Travel Japan 2015 ::: เที่ยวปราสาทคุมาโมโตะ ตามรอยละครตามหา ศาลเจ้ากลกิโมโน :::
Travel Japan 2015 : Day 3 เที่ยวปราสาทคุมาโมโตะ ตามรอยละครตามหาศาลเจ้ากลกิโมโน
ติดตามอ่านบทนำ ข้อมูลก่อนเดินทางทริปนี้ได้ที่นี้
+
ติดตามเรื่องราวการเดินทางได้ที่นี้
+ ตอนที่ 01 : วันแรกของการเดินทาง ::: ” ฟุกุโอกะ ” เมืองที่ถูกจัดอันดับว่าเป็นเมืองน่าอยู่อันดับที่ 12 ของโลก :::
+ ตอนที่ 02 : วันที่สองของการเดินทาง ::: เที่ยวเมือง Yufuin และนั่งรถไฟขบวนสุดฮิต Yufuin No Mori :::
+ ตอนที่ 03 : วันที่สามของการเดินทาง ::: เที่ยวปราสาทคุมาโมโตะ ตามรอยละครตามหา ศาลเจ้ากลกิโมโน ::: < กำลังอ่านอยู่บทความนี้ >
+ ตอนที่ 04 : วันที่สี่ของการเดินทาง ::: เดินทางไปหาเสาโทโรอิกลางน้ำ ที่ฮิโรชิมา ปิดท้ายที่ย่าน Sakae :::
+ ตอนที่ 05 : วันที่ห้าของการเดินทาง ::: พาไปจังหวัด ” ชิงะ ” เที่ยว 2 เมืองรอบทะเลสาบบิวะ :::
+ ตอนที่ 06 : วันที่หกของการเดินทาง ::: ฝนตกทั้งวันเที่ยวเมือง คามาคุระ และตอนเย็นที่โยโกฮาม่า :::
+ ตอนที่ 07 : วันที่เจ็ดของการเดินทาง ::: พาเที่ยวเมืองหลวงของญี่ปุ่น ” โตเกียว ” ออกตามหา Gundam :::
+ ตอนที่ 08 : วันที่แปดของการเดินทาง ::: เที่ยวนากาโน่ ต้องลองไปรู้จักแล้วจะหลงรักเมืองนี้ :::
+ ตอนที่ 09 : วันที่เก้าของการเดินทาง ::: เที่ยวจังหวัดมิเอะ พาไปยังศาลเจ้าอิเสะ Ise Jingu :::
+ ตอนที่ 10 : วันที่สิบของการเดินทาง ::: พาเที่ยวมรดกโลกปราสาทฮิเมะจิ ปิดท้ายค่ำคืนที่ Osaka Bay :::
+ ตอนที่ 11 : วันสุดท้ายของการเดินทาง ::: ไปเมืองหลวงเก่าเกียวโตเที่ยวป่าไผ่ ” อาราชิยาม่า ” ในวันฝนพรำ :::
Day 3 วันที่ 28 มิ.ย. 2558 วันนี้เป็นวันที่ 3 ของการเดินทางเที่ยวในญี่ปุ่นของทริปปี 2015 วันนี้เราตื่นแบบสบาย ๆ เพราะวันนี้เราตั้งใจไปไม่กี่ที่ประมาณ 3 ที่หลัก ๆ ที่จะไปคือ ที่แรกเราจะไปชมความสวยงานของปราสาทคุมาโมโตะ ที่ได้ชื่อว่าเป็นปราสาทที่สวยงามแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น แล้วอีกที่ก็เป็นถนนคนเดินในเมืองคุมาโมโตะนั้นเอง และสถานที่สุดท้ายที่ตั้งใจจะไป คือ ศาลเจ้าที่ทีมกองถ่ายละครกลกิโมโน มาใช้สถานที่ในการถ่ายละครนั้นคือ ศาลเจ้ายูโทกุ อินาริ ( Yutoku Inari-Jinja Shrine ) ซึ่งอยู่ในเขตเมือง ” ซากะ ( Saga ) ” ก่อนจะปิดท้ายตอนค่ำคือเดินย่านริมคลองที่เมือง ” ฟุกุโอกะ ( Fukuoka ) ” เพราะพรุ่งนี้วันที่ 29 มิ.ย. 2558 ผมจะออกจากภูมิภาคคิวชู มุ่งหน้าไปยังโตเกียวแล้ว ติดตามการเดินทางในวันที่ 3 ได้เลยครับ
วันนี้จริง ๆ นัดกับเพื่อน ๆ ไว้ว่าเดียวจะเริ่มออกจากโรงแรมตอนประมาณ 8 โมงครึ่งแต่ผมดันตื่นเช้าตื่นมา 6 โมงกว่า ก็ว่าจะไปเดินถ่ายรูปเล่นหน้าสถานี KUMAMOTO อันนี้เป็นภาพจากห้องพักชั้น 21 ของโรงแรม Toyoko Inn Kumamoto Ekimae จะเห็นตัวสถานี KUMAMOTO อย่างชัดเจน วันนี้ฟ้าใสฝนไม่น่าตกเหมือนเมื่อวานนะ
ที่โรงแรม Toyoko Inn Kumamoto Ekimae ตอนเช้าชั้นล่างจะมีอาหารเช้าให้ทานฟรี หน้าตาประมาณนี้ แต่ผมไม่ชอบเท่าไหร่แต่ขอลองก่อนแล้วกัน (ไหนๆ ก็ฟรี ) เดี๋ยวค่อยไปหาอะไรกินใหม่อีกที
ด้านหน้าของสถานี KUMAMOTO ในยามเช้าคนยังไม่เยอะเท่าไหร่ อากาศดีครับไม่ร้อนเย็น ๆ
มีร้านโปรดขวัญใจคนงบน้อยแบบผมด้วยนั้นคือร้าน โยชิโนยะ ( Yoshinoya ) เป็นร้านขายข้าวหน้าเนื้อ 7 โมงก็เห็นเปิดแล้วผมเลยแวะทาน
สั่งข้าวหน้าเนื้อชามใหญ่มาราคา 580 เยน อร่อยกว่าข้าวในโรงแรม ฮาาาาา ซัดหมดแต่เช้า
ด้านหน้าสถานี KUMAMOTO จะมีป้ายบอกเส้นทางของรถบัส และ รถราง ( Tram ) แสดงพื้นที่การเดินทางในเมืองคุมาโมโตะ
เสร็จแล้วเดินกลับมารับเพื่อน ๆ อันนี้เป็นภาพโรงแรม Toyoko Inn Kumamoto Ekimae ในตอนเช้าไม่ไกลจากสถานี KUMAMOTO เดินไม่ถึง 5 นาที อยู่หน้าสถานีตำรวจเลย
เรา Check Out ออกเลยแล้วเอาของไปฝากไว้ที่ตู้ล็อกเกอร์ที่สถานีรถไฟดีกว่า จะได้ไม่ต้องเดินกลับมาโรงแรมเอาของอีกเพราะกระเป๋าใบไม่ใหญ่กันมาก
หน้าตารถราง ( Tram ) รุ่นใหม่แบบ 2 ตอนที่ใช้วิ่งในสาย A ในเมืองคุมาโมโตะ
ตู้ Locker ในสถานี KUMAMOTO มันมีหลายที่แต่เราไปฝากแต่เช้าตู้ตรงหน้าสถานีติดประชาสัมพันธ์มันว่างเยอะ เราเลือกล็อกใหญ่สุดเพราะใส่กระเป๋าเรา 3 คนได้แล้วค่อยหารค่าฝากกันตู้ใหญ่ 600 เยน
และติดกับตู้ Locker จะเป็น Information ของที่นี้ผมก็ซื้อตั๋วขึ้นรถราง ( Tram ) แบบ 1 Day Pass ที่นี้เลยครับ มีเจ้าหน้าที่พูดภาษาอังกฤษได้ดี สอบถามเส้นทางได้เลย
ได้มาแล้วตั๋ว Kumamoto City Tram 1 Day Pass ในราคา 400 เยน แถมมีส่วนลดในการซื้อตั๋วเข้าปราสาทคุมาโมโตะ และสวนอีกด้วยนะครับ จะใช้ตั๋ววันไหนก็ขูดในบัตรเลย
แผนที่แสดงการวิ่งของรถรางในเมืองคุมาโมโตะ อย่างเราจะไปปราสาทคุมาโมโตะ เราต้องไปลงป้าย Kumamoto Castle / City Hall หรือป้ายหมายเลข 10
สถานีรถราง Kumamoto Station เป็นสถานที่ 3 ของสาย A เรามารอรถรางตรงด้านหน้าของสถานีรถไฟ KUMAMOTO เพราะมันอยู่ติดกันออกมาจากสถานีรถไฟก็เห็นแล้ว
มาแล้วรถรางสาย A ที่เราใช้เดินทางไปยัง ปราสาทคุมาโมโตะ
รถรางที่เราขึ้นเป็นรถรุ่นเก่าแบบตอนเดียว แต่สภาพยังดีอยู่มาก ภาพด้านในของรถรางที่เราขึ้น
ไม่ต้องกลัวว่าจะลงไม่ถูกนะครับ เพราะจะมีป้ายไฟบอกสถานีหน้ามีภาษาอังกฤษ ง่ายต่อการเที่ยวมาก ๆ ถ้าไม่ซื้อตั๋วแบบ 1 Day Pass จะจ่ายเป็นรอบ ๆ ก็ได้ครับผู้ใหญ่คนละ 150 เยน เด็ก 80 เยน
อย่างเราใช้บัตร Kumamoto City Tram 1 Day Pass ก็ยื่นให้คนขับดูได้เลยตอนลง ส่วนใครจ่ายเป็นรอบ ๆ จะใช้บัตร IC Card ก็ได้ครับ
นั่งรถรางจากหน้าสถานี Kumamoto Station มาลงยังป้าย 10 ใช้เวลาประมาณไม่เกิน 20 นาที ก็ถึงแล้วครับ
พอเราลงจากรถรางก็เดินตามป้ายมาเลย เราจะเข้าปราสาทใกล้สุดที่ประตู Hazekata Gate เดินเลียบตัวกะแพงปราสาทมาเลยไม่หลงแน่นอน
วันนี้ฟ้าเปิดแดดดี แต่ไม่ร้อนเดินสบายมาก
เดินมาก่อนข้ามสะพานไปเราจะพบรูปปั้นท่านคาโตะ คิโยมะสะ อดีตไดเมียวของเมืองคุมาโมโตะ
เราเดินข้ามสะพานข้ามคลองรอบปราสาทไปก็จะเจอกับทางเข้าฝั้งประตู Hazekata Gate
อัตราค่าเข้าชมปราสาทคุมาโมโตะ ( Kumamoto Castle ) อย่างเดียวผู้ใหญ่ 500 เยน
พอเดินไปซื้อตั๋วเจ้าหน้าที่เห็นเรามีบัตร Kumamoto City Tram 1 Day Pass เขาบอกว่าลดได้ 100 เยน ลดค่าตั๋วเข้าชมไปเหลือ 400 เยน
ได้มาแล้วตั๋วเข้าชมปราสาทคุมาโมโตะ ( Kumamoto Castle ) ปราสาทขนาดใหญ่ที่สวยงาม แข็งแรงและเก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น และถูกจัดเป็นปราสาทที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่น
ตัวปราสาทคุมาโมโตะ ตั้งอยู่บนเขาต้องเดินขึ้นไปกว่าจะถึงเล่นเอาเหนื่อยเหมื่อนกัน
ตอนเรามาถึงมันยัง 9 โมงกว่า ๆ คนยังไม่เยอะเท่าไหร่นัก
ตัวปราสาทหลังเล็กที่แยกออกมาจากตัวปราสาทหลักทางด้านขวามือ
ตรงด้านนี้จะเป็นร้านขายของที่ระลึกของปราสาท และสัญลักษณ์ของเมืองคุมาโมโตะ นั้นคือเจ้าหมีดำ ” คุมะมง ( Kuma-mon ) ”
ดูของเสร็จเราก็เดินไปทางป้ายทางเดินลอดใต้กำแพงเพื่อไปยังด้านหน้าของตัวปราสาทคุมาโมโตะ อุโมงค์ชั้นใต้ดิน Kuragari Tsuro ที่ในอดีตเอาความมืดภายในอุโมงค์ไว้ใช้ล่อลวงข้าศึก เป็นจุดเด่นทางยุทธศาสตร์ของ ปราสาทแห่งนี้
สวยงามจริง ๆ สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1601 เพื่อใช้เป็นป้อมปราการ และในปี ค.ศ.1877 ตัวปราสาทถูกเพลิงไหม้เสียหายเกือบทั้งหมด และอีกเกือบ 100 ปี ต่อมาจึงได้มีการสร้างขึ้นใหม่เลียนแบบโครงสร้างเดิม
ตัวปราสาทมีหอคอยสูง 2 หอ ทำให้สามารถมองได้รอบทิศจากมุมสูง ปราสาทนี้เป็นที่รู้จักกันดีในญี่ปุ่น จากกลยุทธ์สถาปัตยกรรมที่ก่อสร้างตามแนวกว้าง ความสวยงามของเส้นโค้งของฐานปราสาทที่เป็นหินโค้งสวยไล่ระดับไปจนถึงตัวปราสาท เทคนิคที่สวยงามกลับทำให้ศัตรูยากที่จะเข้าถึงหรือโจมตีได้
เดินเข้าไปยังตัวปราสาทกัน
แบบจำลองโครงสร้างของตัวปราสาทคุมาโมโตะ
ชั้นบนสุดเป็นจุดชมวิวของเมืองที่ดีที่สุด มองเห็นได้กว้างไม่มีอะไรมาปิดบังเพราะตัวปราสาทที่อยู่สูงอยู่แล้วด้วย
มองไปแอบเห็นเจ้าหมีดำคุมะมง สัญลักษณ์ของเมืองคุมาโมโตะ
ออกมาจากตัวปราสาท วันนี้ฟ้าสวยมากกว่า 2 วันที่ผ่านมาทำให้ได้รูปตัวปราสาทสวย ๆ
ต่อไปเราจะไปดูอาคารหลังต่อไปนั้นคือ Honmaru Goten Palace ที่ตกแต่งห้องด้วยภาพวาดวิจิตร และ ประดับด้วยทองคำอร่ามทั้งห้อง สง่างามมาก สร้างขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 400 ปี และเพิ่งเปิดให้บุคคลภายนอกเข้าชมได้เมื่อปี 2008 ที่ผ่านมานี้เอง
ก่อนเข้าต้องการถอดรองเท้า แล้วเจ้าหน้าจะแจกถุงพลาสติกให้เราใส่รองเท้าถือเข้ายังด้านใน แล้วตอนออกใส่รองเท้าเสร็จก็คืนถุงใส่ตระกร้า และเจ้าหน้าที่เขาจะนำกลับมาใช้ใหม่
ร่องรอยของตัวส่วนจั่วหลังคาของปราสาทของเดิมที่ชำรุด กับของใหม่ที่ทำการหล่อขึ้นให้เหมือนแบบเดิม
โถงทางเดินขนาดใหญ่และสวยงาม ถ้าคิดตามที่เคยดูในหนังญี่ปุ่น ตรงนี้น่าจะเป็นที่นั่งของเหล่่าซามูไรแน่นอน ก่อนจะถึงที่ประทับของไดเมียว หรือ โชกุน ในสมัยนั้น
บริเวณทางเดินรอบนอกติดกับสวน
ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2013 จักรพรรดิและจักรพรรดินีของญี่ปุ่นได้เสด็จมาที่ Palace แห่งนี้โดยมาร่วมงาน 33rd National Convention for the Development on Abundantly Productive Sea”
การจัดสวนแบบ Zen ด้านนอกติดกับตัวอาคารหลังนี้
ส่วนของห้อง Extravagant Room ต้องบอกว่าสวยยิ่งนัก แสงสีทองของฉากประตูกั้นระหว่างห้องช่างสวยงามจริง ๆ
และก็ถึงเวลาที่เราต้องไปจากปราสาทคุมาโมโตะ ปราสาทที่สวยงามแห่งหนึ่งในเกาะญี่ปุ่น
ขามา เดินมาทางไหน ขากลับ ก็เดินกลับไปทางนั้นเดินลอดใต้อาคารเหมือนเดิม
ตอนเดินกลับเดินออกจากปราสาทฝั่งทางที่จอดรถ เพื่อไป Sakura-no-baba Josaien ศูนย์รวมอาหารและของฝากอยู่ใกล้ปราสาท
มาสคอต ( Mascot ) ของเจ้าปราสาทคุมาโมโตะ น่ารักดี
และก็เดินกลับมาขึ้นรถราง ( Tram ) ที่ป้ายเดิมป้ายที่ 10 แต่ขึ้นรถฝั่งตรงข้ามกับขามาเพราะเราจะไปยังถนนคนเดิน ซึ่งไปทางเดียวกับทางไปสถานี KUMAMOTO
และเราก็มาเดินต่อที่ถนนคนเดิน Sunroad Shinshigai ถ้าดูจากแผนที่รถรางด้านบนคือรถรางสาย A ป้ายสถานี Karashimacho หรือป้ายหมายเลข 8
และคออนิเมะแบบผมก็ไม่พลาดที่จะเข้าร้าน Animate สาขาคุมาโมโตะ
โปรโมทกันน่าดูกับอนิเมะเรื่องดังในตอนนี้ Love Live
เดินสักพักหาของกินแล้วก็จะกลับไปยังสถานีรถไฟ KUMAMOTO ระหว่างทางเดิน ที่นี้เวลาเด็ก ๆ จะปั่นจักรยานซึ่งยังพบเห็นมากในญี่ปุ่น เขาจะมีการใส่หมวกกันน็อคเพื่อความปลอดภัยด้วย
ขากลับมายังสถานีรถไฟ KUMAMOTO ได้ขึ้นเจ้ารถรางรุ่นใหม่แบบ 2 ตอนด้วย
ภายในรถรางรุ่นใหม่แบบ 2 ตอนนี้ตกแต่งสวยพอ ๆ กับตัวรถไฟเลยทีเดียว
มีป้าย LCD บอกสถานีหน้าและราคาเหมือนรถรางคันแรกที่เรานั่งมา
รถราง ( Tram ) ที่เรานั่งมานี้มีชื่อด้วยนะครับ ชื่อของมันคือ Cocoro
และเราก็มาลงยังสถานีรถราง Kumamoto Station ป้ายที่ 3 ในแผนที่รถรางนั้นเอง
เรารีบเข้าไปเอาของในตู้ Loceker แล้วรีบไปรอรถไฟ SHINKANSEN เพราะใกล้เวลาที่จองไว้แล้ว
ตัวสถานีรถไฟความเร็วสูง หรือ SHINKANSEN จะเป็นอาคารหลังใหม่อีกอาคารนึงเดินเชื่อมกันได้ เราเดินตามป้าย SHINKANSEN GATE ไปเลยครับ หรือตามเจ้า Kuro ไปก็ได้
เสียดายที่ภูเขาไฟที่ ASO เขายังไม่ให้ขึ้นไม่งั้นได้ไปขึ้นรถไฟขบวน ASO BOY แล้วจะได้เจอเจ้าหมา Kuro
ไปรอรถไฟ SHINKANSEN TSUBAME 326 เพื่อไปลงยังสถานี SHIN-TOSU ดูซิว่าวันนี้ขึ้นขบวน TSUBAME จะได้นั่งเจ้า 800 series ไหม ?
ฝั่งตรงข้ามวิ่งเข้ามาแล้ว SHINKANSEN TSUBAME ตัว 800 series ต้องหน้าตาแบบนี้ วิ่งมาจาก HAKATA
SHINKANSEN TSUBAME มีลวดลายเหมือนนกนางแอ่น
และขบวนของเราก็มาแล้ว SHINKANSEN TSUBAME 326
ด้านข้างจะเขียนชัดเจนว่า Kyushu Shinkansen 800 หมายถึงรถไฟความเร็วสูงซีรีย์ 800 ที่วิ่งในเกาะคิวชู เท่านั้น
โลโก้ขบวนรถด้านข้างใหญ่มากเห็นถึงตรารูป นกนางแอ่น
ภายในด้านในของ Shinkansen 800 จะมีดีไซน์ในส่วนของภูมิภาคคิวชู เก้าอี้นั่งเป็นไม้ ใช้วัสดุที่ทำจาก ไม้เมเปิ้ล และไม้ต้นแพร์ญี่ปุ่น ที่มีมากในแถบคิวชู
และตรงเบาะที่นั่งจะเป็นผ้า ที่นั่งสวยกว่าขบวนทั่วไป
มาดูส่วนอื่น ๆ ของเจ้าขบวน TSUBAME กันบ้าง
ที่วางอาหารและวางของขบวนอื่นจะอยู่ด้านหน้าที่นั่ง แต่ของเจ้า TSUBAME จะอยู่ตรงที่วางแขนเปิดขึ้นมาแล้วดึงขึ้นมามันก็จะกางออก
พอกางออกมันจะเป็นที่วางของและอาหารขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป
และก็ได้เวลากินข้าวยามบ่าย ซื้อมาจากหน้าสถานี KUMAMOTO ตะเกียบยังเป็นรูปเจ้าหมีคุมะมงเลย ต้องรีบกินเลยเวลามีน้อย
นั่งแค่ 35 นาทีจากสถานี KUMAMOTO มาลงยังสถานี SHIN-TOSU พอดีเราจะแวะไปยังศาลเจ้ายูโทกุ อินาริ ที่อยู่ในเขต ซากะ เราเลยมาต่อขบวนที่สถานีนี้
ลงจาก SHINKANSEN TSUBAME สถานี SHIN-TOSU ไม่เล็กนะครับเลยถามเจ้าหน้าที่ว่าจะไปขึ้นรถไฟ LTD. EXP KAMOME ต้องไปทางไหน เขาบอกชานชาลาที่ 2 เราก็เดินข้ามมารอ
ขบวนท้องถิ่นมาก่อนสาย JR Nagasaki Line
ขนาดรถไฟท้องถิ่นเขายังดูดีเลย แอบอิจฉาเขาเล็กน้อยเมื่อไหร่รถไฟไทยจะได้แบบนี้ให้เราได้นั่งมั่ง
ฝั่งตรงข้ามสายขบวน LTD. EXP MIDORI ก็เข้ามาเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยัง HAKATA
และก็ถึงเวลาของเราแล้วเจ้า LTD. EXP KAMOME 29
รถวิ่งมาจากสถานีฮากาตะ ไปยังเมืองนางาซากิ แต่เราลงก่อนเยอะ ขาไปคนเต็มเลยไว้ถ่ายรูปขบวนตอนขากลับละกัน
นั่งเจ้า LTD. EXP KAMOME 29 เพียงแค่ 33 นาทีเราก็มาลงยังสถานี HIZENKASHIMA
เจอเจ้า LTD. EXP SONIC สีดำกำลังออกไปจากสถานีพอดี
สถานี HIZEN-KASHIMA เป็นสถานีเล็ก แต่ขอบอกว่าห้องน้ำสวยมาก มาถึงสถานีที่นี้ต้องลองเข้าดูครับ
ตามลายแทงเลยออกจากสถานีมาแล้วข้ามถนนมาที่ Kashima Bus Center ( ข้างตึก Yutoku )
ด้านในสถานีรถบัสมีตู้ Locker ฝากกระเป๋าด้วยนะครับ ตอนแรกเดินเข้าไปก็ งง ว่าจะซื้อตั๋วรถบัสตรงไหน เดินวน ๆ อยู่คุณลุงที่อยู่ร้านขายของแกก็เอาแผ่นภาพมาชี้พูดญี่ปุ่นล้วนเลย แต่แกชี้รูปศาลเจ้ายูโทกุ อินาริ ( Yutoku Inari-Jinja Shrine ) แล้วตัวลุงแกก็ขายตั๋วด้วยเที่ยวละ 320 เยน ซื้อไปกลับก็ 640 เยน
แล้วลุงแกก็บอกให้ยืนรอตรงทางออกหมายเลข 3 แล้วเหมือนแกบอกให้ยืนรอรถตรงนี้ แกเล่นพูดอังกฤษไม่ได้แต่แกก็ช่วยเหลือได้อย่างดี
ตารางรอบเวลารถบัสที่จะออกของป้ายที่ 3 ที่เรามายืนรอรถเพื่อไป ศาลเจ้ายูโทกุ อินาริ ( Yutoku Inari-Jinja Shrine )
ตอนไปยืนรอเวลารถก็ใกล้มาแล้วครับ ยืนรอไม่นานรถก็มาพอขึ้นบนรถไปแล้วนึกว่ารถบัสตามต่างจังหวัดจะแย่ แต่ไม่เลยมาตรฐานรถบัสเหมือนในตัวเมืองเลยมีจอบอกราคา และไฟวิ่งชื่อป้ายเป็นภาษาอังกฤษ คนขับแต่งตัวเรียบร้อย และรถสะอาดมาก
นั่งรถจากท่ารถ Kashima Bus Center นั่งมาประมาณ 15 – 20 นาที ก็มาจอดแล้วคนขับแกบอกให้ลงตรงนี้ เราก็ลงและก็ขอบคุณคนขับ
เดินลงไปมองเห็นเสาโทโรอิ ( Torii ) ไม่ต้องคิดมากเดินไปทางนั้นเลยแต่ตอนเราไปถึงมัน 4 โมงเย็นแล้วร้านค้าข้างทางเริ่มทยอยปิดกันแล้ว
เดินตามทางร้านค้ามาเรื่อย ๆ ก็จะเจอทางเข้า ศาลเจ้ายูโทกุ อินาริ ( Yutoku Inari-Jinja Shrine ) อยู่ทางขวามือใหญ่และสวยมาก
มีรูปปั้นจิ้งจอก อยู่ทางหน้าศาลเจ้า คล้าย ๆ กับศาลเจ้าฟุจิมะ อินาริ ที่เกียวโตเลย
ก่อนเข้าศาลเจ้าก็อย่าลืมล้างมือ บ้วนปาก ก่อนเข้าไปนะครับ ตามธรรมเนียมของชาวญี่ปุ่น
ศาลเจ้ายูโทกุ อินาริ ( Yutoku Inari-Jinja Shrine ) มีลักษณะเป็นศาลเจ้าสีแดงตั้งอยู่บนเนินเขา
ศาลเจ้ายูโทกุ อินาริ ( Yutoku Inari-Jinja Shrine ) สร้างขึ้นในปี 1688 เป็นศาลเจ้านิกายชินโต ประจำตระกูลนาเบะชิมะ ( Nabeshima clan ) ผู้ปกครองเมืองซากะ ในสมัยเอโดะ
ซุ้มทางเข้าใหญ่เป็นศาลเจ้านึงที่สวย และไม่น่าพลาดถ้าใครได้มาเที่ยวยังคิวชู
ฝั่งตรงข้ามเป็นที่ขายพวกเครื่องรางแต่เราไปเย็นมากเลยปิดกันหมดแล้ว
มาถึงตอนเย็นก็ดีแบบนี้ คนไม่มีเลยถ่ายรูปสบายมาก ศาลเจ้ายูโทกุ อินาริ ( Yutoku Inari-Jinja Shrine ) เป็นศาลเจ้าอินาริที่ใหญ่และสำคัญเป็นอันดับ 3 รองมาจาก ศาลเจ้าฟุชิมิอินาริ ( Fushi-mi Inari Shrine ) ในเกียวโต ( Kyoto ) และศาลเจ้าคะซะม่าอินาริ( Kasama Inari Shrine ) ในอิบาระกิ ( Ibaraki )
เขาว่าที่แห่งนี้เป็นที่ประทับแห่งเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ผู้ประทานผลเก็บเกี่ยวอันสมบูรณ์ ปัจจุบันมีผู้ศรัทธาไปสักการะขอความสำเร็จด้านธุรกิจการค้าและความปลอดภัยจากอุบัติเหตุทั้งปวง
มองดูแล้วไม่สูงเท่าไหร่ เดินขึ้นไปได้คงไม่เหนื่อยมาก ^^!
ด้านบนของตัวศาลเจ้า ก็เป็นจุดชมวิวที่สวยงามอีกจุดหนึ่ง มองลงไปด้านล่างของตัวศาลเจ้า
ด้านข้างของศาลเจ้าชั้นบนยังมีทางเดินขึ้นไปยังบนภูเขาอีก
มีเสาโทโรอิตามทางขึ้นเขาให้ถ่ายรูปกันด้วย แต่เสาสีมันซีดไปหน่อยไม่เหมือนที่เกียวโต แต่ก็สวยไปอีกแบบ
ออกมาจากศาลเจ้าฝั่งตรงข้ามไปทางถนนจะเจอสะพานแดงขนาดใหญ่ ข้ามคลองหน้าศาลเจ้า
คลองด้านหน้าศาลเจ้าคนละทางกับที่เราเดินมา
ข้อดีของการมาหน้าร้อน คือ 5 โมงเย็นก็ยังไม่มืด เพราะมาหน้าหนาวป่านนี้มืดสนิท ร้านค้าบางร้านหน้าศาลเจ้ายังเปิดขายอยู่ เราก็ซื้อน้ำซื้อไอศครีมกินก่อนเดินไปท่ารถเพื่อรอรถกลับ ก็ขามาเดินมาทางไหนขากลับก็เดินกลับไปทางนั้น
เรามารอยังท่ารถบัสที่ขามารถบัสมาส่งเราตรงนี้ พอมีรถบัสมาเราก็ถ่ายรูปหน้าสถานี HIZEN-KASHIMA ถามว่าผ่านไหม คนขับพยักหน้าเราก็ขึ้นเลย แล้วก็เอาตั๋วที่ซื้อจากลุงใส่ลงกล่องตอนลงรถบัส
เรามาถึงสถานี HIZEN-KASHIMA ก่อนเวลารถไฟที่จองไว้เป็นชั่วโมงกว่า ๆ เลย เลยหาเวลารถไฟที่มาเร็วกว่ามีไหมก็มีขบวน LTD. EXP KAMOME 38 ที่มาก่อน เราถามเจ้าหน้าว่าเปลี่ยนตั๋วได้ไหม เขาก็ขอดูบัตร JR North Kyshu แล้วเจ้าหน้าที่ก็ออกตั๋วใหม่ให้ ส่วนตั๋วเก่าเราก็ขอ Cancel เจ้าหน้าที่ก็จัดการให้อย่างดี
เวลาใหม่ของเราคือรถไฟมาถึงตอน 6 โมง 16 นาที เดินขึ้นไปรอไม่นานเจ้า LTD. EXP KAMOME 38 ก็มาแล้ว ใช้เวลาในการเดินทาง 58 นาทีก็ 1 ชม. นั้นละครับถึงสถานี HAKATA
ภายในของที่นั่งของเจ้ารถไฟ LTD. EXP KAMOME
พามาดูด้านส่วนต่าง ๆ ของเจ้า LTD. EXP KAMOME ที่เขาว่าเป็นรถไฟอีกขบวนที่ภายในตกแต่งอย่างสวยงาม
ที่นั่งตรงบริเวณรอยต่อตรงตู้รถไฟ สามารถนั่งหรือยืนตรงนี้ได้นะครับมีที่ให้วางของด้วย
ห้องน้ำสะอาดและกว้างมาก รถไฟไทยชิดซ้ายเรื่องความสะอาดของห้องน้ำในรถไฟ
มาถึงสถานี HAKATA ตอนทุ่มสิบสี่นาที มาเห็นร้านขายครัวซองเจ้าดังคนต่อแถวยังเยอะเหมือนเดิมทุกวัน เราก็กลับไปยังโรงแรมเดิม Hotel MyStays Fukuoka Tenjin ที่เราฝากกระเป๋าไว้ที่นั้น ก็เข้า Check in เรียบร้อยก็เตรียมออกเดินเล่นต่อในเมืองเพราะคืนนี้อยู่เป็นคืนสุดท้าย
เราตั้งใจจะไปเดินกินราเมน ( Ramen ) ด้านบนของห้าง Canal City Hakata ก็เดินจากโรงแรมย่าน Tenjin เปิด Google Map นำทางเดินผ่านห้าง Parco แต่ไม่หลงนะเพราะเดินไปตามฝูงคน
ยามค่ำคืนที่ในตัวฟุกุโอกะช่วง 2 ทุ่มก็ยังคึกคักอยู่ไม่เงียบมาก เราก็เดินสะพานข้ามแม่น้ำและเดินตรงไป
เดินผ่านข้ามสะพานมีแม่น้ำนาคากะวะ (Nakagawa) ไหลผ่าน จึงเรียกอีกฉายาหนึ่งว่า เมืองแห่งคลอง
Yatai ( แผงลอยสไตล์ญี่ปุ่น ) ที่อยู่ริมคลองร้านน่านั่งมากได้บรรยากาศ แต่ดูแล้วเราจะสั่งยังไงดี ?
เดินเลยมาอีกนิดก็ถึงแล้วห้าง คาแนลซิตีฮะกะตะ ( Canal City Hakata ) ประกอบด้วยร้านค้า ร้านกาแฟ ภัตตาคาร โรงละคร ศูนย์เกม โรงภาพยนตร์ โรงแรมสองแห่ง และคลองที่ไหลผ่านกลางศูนย์กลางค้า
น้ำพุเต้นรำตามเสียงดนตรีทุกชั่วโมง และคลองไหลผ่านตามความยาวของคาแนลซิตี
เราก็ขึ้นมายังชั้นบนมายัง Ramen Stadium ตั้งอยู่ที่ SOUTH BUILDING ชั้น 5 ครับ ปิด 5 ทุ่ม มันมีหลายร้านแต่เราเลือกร้านนี้ครับ สั่งกินก็ง่าย ๆ เลือกอาหารหน้าตู้ใส่ตังค์เข้าไปแล้วกด ก็จะได้แผ่นรายการอาหารเล็ก ๆ ก็เอาให้พนักงานในร้านแล้วก็นั่งรอเลย
นั่งกินไปคุยกับเพื่อน ๆ ไปจนลืมดูเวลาหนักงานบอกจะปิดร้านแล้วคะ เพราะ 5 ทุ่มครึ่งแล้วเราก็เลยเตรียมตัวเดินกลับไปโรงแรม
แต่ร้านแผงลอยริมคลองคนยังเยอะอยู่เลย ชาวญี่ปุ่นในฟุกุโอกะ นิยมมานั่งทานกันตรงนี้ และก็จบคืนสุดท้ายของผมในคิวชู ก่อนพรุ่งนี้จะเดินทางขึ้นไปยังเมืองหลวงโตเกียวเพื่อไปรับแม่ วันนี้ก็กลับโรงแรมที่พักนอนเอาแรงพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าเดินทาง
Final ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านเรื่องราวของผมในตอนแรกในการเดินทางไปยังญี่ปุ่นนะครับ ผิดถูกยังไงก็ขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วยแล้วกัน ชอบเรื่องราวการเดินทางของผมคิดว่ามีประโยชน์กับการเดินทางของท่านก็ฝากกด Like กด Share หรือบอกต่อ ๆ กันไป หวังว่าเรื่องราวการเดินทางของทางเราจะมีประโยชน์นะครับ
ติดตามตอนเรื่องราวการเดินทางวันที่ 4 ได้ที่นี้ : วันที่สี่ของการเดินทาง ::: เดินทางไปหาเสาโทโรอิกลางน้ำ ที่ฮิโรชิมา ปิดท้ายที่ย่าน Sakae :::
T R A V E L – J A P A N – 2 0 1 5
- Travel Japan 2015 : Day 1
- Travel Japan 2015 : Day 2
- Travel Japan 2015 : Day 3
- Travel Japan 2015 : Day 4
- Travel Japan 2015 : Day 5
- Travel Japan 2015 : Day 6
- Travel Japan 2015 : Day 7
- Travel Japan 2015 : Day 8
- Travel Japan 2015 : Day 9
- Travel Japan 2015 : Day 10
- Travel Japan 2015 : Day 11